วิธีลด Development Cost ด้วย MVP ของ Startup
ทุกวันนี้ การมีธุรกิจของตัวเองยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีบริษัท startup เกิดขึ้นใหม่ทุกวันทั่วโลก แต่มีจำนวนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จ จึงเกิดคำถามที่ว่า จะทำยังไงให้เราโชคดีแบบนั้น คำตอบคือไม่มีความโชคดีใด ๆ ที่ช่วยคุณได้ คุณต้องทำงานหนัก ลงแรงเพื่อที่จะได้มันมา
เมื่อพูดว่าเป็น startup แล้วแน่นอนว่าทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ เราจะยังไม่มีตลาดและกลุ่มลูกค้าที่แน่นอน เราจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เรารู้ว่าเราไปถูกทางได้เร็วที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นที่หลายคนนิยมทำกันมานานแล้วก็คือ การทำ MVP
MVP คืออะไร
MVP ย่อมาจาก Minimum Viable Product คำนิยามของ MVP โดย Steve Blank และ Eric Ries คือ สินค้าที่มีเฉพาะฟีเจอร์ที่สามารถใช้วัดตลาดและกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยใช้กำลังและเวลาในการพัฒนาให้น้อยที่สุด ซึ่งวิธีการนี้ได้รับการรับรองแล้วว่าได้ผลจริงจากบริษัทใหญ่หลายบริษัทที่ก็ใช้ MVP เป็นจุดเริ่มต้นเช่นกัน
มาดูรูปตัวอย่างของคอนเซ็ปต์การทำ MVP กันบ้าง
จากรูปจะเห็นว่า แทนที่เราจะเลือกทำแบบภาพใหญ่ทีเดียว (มีครบทุกฟีเจอร์ตั้งแต่แรกแบบภาพบน) การเปลี่ยนมาทำแบบรูปล่าง (เริ่มจากเป็นสเก็ตบอร์ด แล้วค่อย ๆ ขยายจนเป็นรถยนต์) จะทำให้ลดความเสี่ยงในการทำสินค้าออกมาไม่ตอบโจทย์ของลูกค้าได้มากกว่า ลดเวลาในการพัฒนา ขายสินค้าได้เร็วขึ้น และได้รับ feedback จากลูกค้าเร็วขึ้น
เริ่มต้นการทำ MVP
การจะเริ่มทำ MVP สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามีความต้องการของตลาดจริง
- สินค้าที่เรากำลังจะพัฒนาทำมาเพื่อแก้ปัญหาอะไร
- ใครคือกลุ่มคนที่มีปัญหานั้นอยู่ (กลุ่มลูกค้า)
- แล้วปัญหานั้นใหญ่แค่ไหน
- ปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านั้นแก้ปัญหากันอย่างไร
- อะไรคือจุดเสี่ยงที่จะทำให้คนไม่ใช้สินค้า (เช่น กรณีของ AirBnb จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ผู้คนจะยอมเสี่ยงให้คนแปลกหน้าเข้ามาพักในบ้านได้หรือไม่)
ขั้นตอนถัดไปคือ การหาฟีเจอร์ที่เป็น Must-have (จำเป็นต้องมี) และ Nice-to-have (มีก็ดี) ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการจะเปิดร้านออนไลน์เพื่อขายจักรยานรุ่น Limited ฟีเจอร์ Must-have แรกที่ต้องมีคือลูกค้าต้องซื้อสินค้าได้ ส่วนฟีเจอร์ Nice-to-have ก็อาจจะเป็น การใช้งานส่วนลดหรือคูปองในเว็บไซต์ได้
ให้เราถามคำถามกับทุกฟีเจอร์ที่ต้องการใส่เข้าไปใน MVP ว่า เมื่อเอาเข้ามาแล้ว มันช่วย Validate ไอเดียของสินค้านั้นเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจไดหรือไม่
เมื่อเราได้ฟีเจอร์ของ MVP ออกมาแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือพัฒนามันออกมาแล้วคอยตรวจสอบ feedback จากลูกค้าเท่านั้น!
ยังไม่แน่ใจในไอเดียของตัวเอง หรืออยากได้คำปรึกษาในการทำ MVP ปรึกษาเราได้เลย!