วิธีการทำ Sprint Grooming
วิธีการทำ Sprint Grooming
ก่อนที่จะไปพูดถึงวิธีการทำ Sprint Grooming ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า Sprint Grooming เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการทำงานแบบ Scrum ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดการทำงานแบบ Agile
Agile เป็นกรอบแนวคิด และวิธีการทำงานที่คนทำงานสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าระหว่างการทำงานในโปรเจกต์โดยที่ไม่ต้องรอแก้ไขตอนจบโปรเจกต์ทีเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายน้อยกว่า และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า
การทำงานแบบ Scrum หมายถึง การแบ่งย่อยการทำงานจากระยะยาวให้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อที่จะสามารถแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงาน และทำให้ลูกค้าได้เห็นผลงานในทุกช่วงเวลาระหว่างทางก่อนที่จะส่งมอบงานทั้งโปรเจกต์ให้กับลูกค้า
การทำงานแบบ Scrum ของเซนน่า แล็บ
การทำงานของเซนน่าแล็บ เราจะแบ่งย่อยงานทั้งโปรเจกต์ออกเป็น Sprint เพื่อแบ่งการทำงานเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ปกติ Sprint จะแบ่งงานออกเป็น 1-2 สัปดาห์ โดยมีส่วนประกอบการทำดังนี้
-
Create Backlog
-
Sprint Grooming
-
Sprint Planning
-
Daily Stand Up
-
Demo
-
Retrospective
ข้อดีของการทำงานแบบ Scrum
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า การทำงานแบบ Scrum เป็นวิธีที่เราสามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงงานได้ตลอดระยะเวลาการทำงาน ในซอฟต์แวร์บางอย่างมีขั้นตอนการพัฒนาที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน ซึ่งการทำงานแบบ Scrum จะไม่ได้ทำให้โปรเจกต์เสร็จเร็วขึ้น แต่ทำให้ได้เห็นผลลัพธ์ของงานในวงรอบที่สั้นลง จะช่วยลดปัญหาซอฟต์แวร์ไม่ตอบโจทย์หลังจากเวลาผ่านไปนานเป็นปี ๆ เนื่องจากความต้องการของลูกค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือหากมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็สามารถปรับใช้ระหว่างทางได้เลย แต่เราก็ต้องคำนึงถึงข้อควรระวังคือเรื่องของการแก้ไขงานจะต้องอยู่ใน Scope requirement ที่ได้ตกลงกันไว้กับลูกค้าในตอนเซ็นสัญญา เพราะหากเราไม่ระวัง ระหว่างทางเราอาจได้ลงมือทำ CR (Change Request) ไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้โปรเจกต์นั้นไม่เป็นไปตามระยะเวลาและงบประมาณที่ได้วางแผนเอาไว้
ความสำคัญของ Sprint Grooming
Sprint Grooming คืออะไร?
Sprint Grooming คือกระบวนหลังจากที่เราได้สร้าง Backlog เรียบร้อย + ก่อนที่เราจะเริ่มงานในแต่ละ Sprint เราจะต้องวางแผนก่อนว่าใน Sprint ที่จะมาถึง เราจะเลือก Backlog อันไหนมาทำ ซึ่งคนที่จะตัดสินใจตรงนี้จะเป็น Project Manager วางแผนร่วมกับ Lead Developer โดย Project Manager จะเป็นคนที่รู้ Requirement ของลูกค้า ว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับส่วนไหน ต้องการให้ส่วนไหนเสร็จก่อน และ Lead Developer จะเป็นคนที่รู้ว่าเราสามารถทำส่วนไหนได้ก่อนส่วนไหนในเชิงของ Technical หากโปรเจกต์ไหนที่ Product Owner (ฝั่งลูกค้า) สามารถเข้าร่วมประชุม Grooming ด้วยได้ก็จะดีหน่อยตรงที่เราสามารถสอบถามความต้องการของเขาได้โดยตรง ส่งผลให้ผลประกอบการของแต่ละ Sprint เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งหากเราไม่มีกระบวนการ Grooming นี้ การทำงานในแต่ละ Sprint ก็อาจเสียเวลาเยอะกว่าเดิม เนื่องจากไม่มีการวางแผนที่ดี คนทำงานก็จะทำงานแบบงง ๆ ไม่รู้ต้องเริ่มตรงไหนก่อน
Sprint Grooming ทำอย่างไร?
เราจะประชุมระหว่าง Project Manager กับ Lead Developer (หรือมี Product Owner จากฝั่งลูกค้ามาร่วมประชุมด้วยก็ได้) เพื่อมาดู Timeline กับ Feature ที่จะเลือกมาทำ ซึ่งข้อมูลจะถูกเรียบเรียงไว้ตามที่ทีม Business Development ได้ตกลงไว้กับลูกค้า
Project Manager จะนำข้อมูล Timeline กับ Feature ตรงนั้นมาสร้าง Backlog รอ โดยการทำ Grooming คือการปรับแต่งเจ้าตัว Backlog ที่เราเตรียมไว้ให้สามารถนำมาทำงานได้เป็น Story หรือ Flow เน้นการดู Product Roadmap ในภาพรวม พูดคุยกว้าง ๆ เน้นความเข้าใจใน User Story ซึ่ง 1 Backlog อาจจะกินเวลาการทำงานโดยทั่วไปอย่างน้อย 3 วัน แล้วเราก็จะสามารถเอาตัว Backlog นั้นไปทำ Sprint Planning ต่อได้ การ Grooming ตัว Backlog จึงเหมือนเป็นการเก็บสะสม Story ที่มีรายละเอียดเพียงพอเอาไว้ พอถึงคราวที่ต้องทำ Sprint Planning ก็ไม่ต้องคุยรายละเอียดกันมาก แล้ว Developer ที่ต้องลงมือทำงานจริงก็จะเห็นภาพมากขึ้นจาก Story ที่ Project Manager ได้เตรียมไว้ แล้วพอถึงเวลา Planning ก็จะแค่มาดูว่า Sprint นี้จะรับงานได้เท่าไรแล้วก็วางแผนการทำงานไปตาม Priority ที่ Project Manager กับ Lead Developer ได้เลือกเอาไว้ได้เลย
ปกติการ Grooming จะกินเวลาไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง ในช่วงแรกอาจจะนานหน่อย แต่ช่วงหลังพอเริ่มจับทาง Requirement ได้ เวลาที่ใช้ก็จะสั้นลง
ส่วนเซนน่า แล็บของเราก็ใช้วิธีการทำงานแบบ Scrum เช่นกัน เรามองว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดี สามารถช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที หรือแม้กระทั่งลูกค้ามีการปรับเปลี่ยน Requirement ระหว่างทาง เราก็สามารถต่อรองกันได้เพื่อทำให้ซอฟต์แวร์ที่เราส่งมอบให้ลูกค้านั้นตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด หากใครอยากลองนำวิธีนี้ไปปรับใช้ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติม และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานของตัวเองได้เช่นกัน
แหล่งอ้างอิง