การวัดผลเว็บไซต์: Metrics เบื้องต้นที่ต้องรู้

เมื่อเว็บไซต์ของคุณเริ่มใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อขายของ ให้ข้อมูล หรือเก็บรายชื่อผู้สนใจ สิ่งสำคัญลำดับต่อไปคือ การวัดผลเพราะคุณไม่สามารถพัฒนาเว็บให้ดีขึ้นได้ ถ้าไม่รู้ว่าผู้ใช้เข้าเว็บมาทำอะไร อยู่ได้นานแค่ไหน หรือออกไปตอนไหน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Metrics สำคัญสำหรับวัดผลเว็บไซต์ ที่เจ้าของเว็บควรรู้ พร้อมกรณีศึกษาจากธุรกิจขายประกัน ที่แค่รู้ว่าคนออกตรงไหน ก็สามารถปรับ UX ให้ยอดซื้อเพิ่มขึ้นได้ทันที
Metrics เบื้องต้นที่ควรรู้
1. Page Views – จำนวนครั้งที่หน้าเว็บถูกเปิด
แสดงว่าหน้านั้นมี “คนเข้า” มากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่างการใช้งาน:
ถ้าคุณมีหน้าโปรโมชั่นใหม่ แต่ Page Views ต่ำ อาจต้องดูว่าปุ่มหรือแบนเนอร์ที่ลิงก์ไปหน้านั้นวางไว้ดีพอหรือยัง
2. Bounce Rate – เข้าแล้วออกเลย ไม่คลิกต่อ
ถ้า Bounce Rate สูง (เช่น 80%) แปลว่า “คนเข้าแล้วออกเลย” อาจเพราะ:
-
โหลดช้า
-
ไม่ตรงกับสิ่งที่ค้นหา
-
UX ใช้ยาก
เป้าหมายทั่วไป:
พยายามลด Bounce Rate ให้อยู่ที่ 40–60% สำหรับเว็บทั่วไป
3. Conversion Rate – เปลี่ยนจากผู้เข้าชมเป็นลูกค้า
Conversion Rate = จำนวนคนที่ทำ “เป้าหมาย” สำเร็จ เช่น:
-
สมัครสมาชิก
-
กรอกฟอร์ม
-
กดสั่งซื้อ
ตัวอย่าง:
หากมี 1,000 คนเข้าหน้า Checkout แต่มี 50 คนสั่งซื้อ → Conversion Rate = 5%
4. Average Session Duration – เวลาที่คนอยู่บนเว็บไซต์
ยิ่งคนอยู่เว็บนาน ยิ่งบอกได้ว่าเว็บมีคุณภาพหรือเนื้อหาน่าสนใจ
ตัวเลขคร่าว ๆ ที่ดี:
2–3 นาทีสำหรับเว็บทั่วไป / 5+ นาทีสำหรับเว็บบทความยาว
5. Google Analytics – เครื่องมือวัดผลที่ขาดไม่ได้
Google Analytics ช่วยให้คุณดูข้อมูลทั้งหมดข้างต้นได้แบบละเอียด และฟรี
สิ่งที่ดูได้:
-
คนเข้ามาจากช่องทางไหน (Google, Facebook, พิมพ์ URL เอง)
-
เข้าผ่านมือถือหรือเดสก์ท็อป
-
เข้าหน้าไหนเยอะสุด
-
ออกจากหน้าไหนบ่อยที่สุด
กรณีศึกษา: ธุรกิจขายประกันที่ปรับ UX จากข้อมูล Analytics
สถานการณ์:
บริษัทขายประกันสุขภาพเปิดหน้าเว็บใหม่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจและซื้อผ่านหน้าเว็บไซต์
หลังจากเปิดใช้งาน 1 เดือน มีคนเข้าหน้ารายละเอียดแพ็กเกจเยอะ แต่ยอดซื้อไม่ขยับ
สิ่งที่ทีมทำ:
ติด Google Analytics แล้วตั้งเป้าให้ หน้า Checkout เป็น Conversion Goal
สิ่งที่พบ:
-
คนเข้าหน้า Checkout แล้ว “ออก” เยอะมาก
-
หน้า Checkout มี 4 ขั้นตอน, ฟอร์มกรอกยาว, ปุ่มซื้ออยู่ล่างสุด
การปรับ UX:
-
ลดขั้นตอนเหลือ 2 ขั้น (เลือกแพ็กเกจ → กรอกข้อมูลสั้น ๆ)
-
ทำปุ่ม “ซื้อเลย” ให้อยู่ตรงกลางหน้าจอ เห็นตั้งแต่เปิด
ผลลัพธ์หลังปรับ:
-
Bounce Rate หน้า Checkout ลดลงจาก 68% → 35%
-
Conversion Rate เพิ่มจาก 1.2% → 3.8%
-
ลูกค้าหลายรายให้ Feedback ว่า “ซื้อได้ง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน”
สรุป
การวัดผลเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องของทีมเทคนิคเท่านั้น
แต่เป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ควรเข้าใจ เพื่อใช้ตัดสินใจปรับปรุง UX, เนื้อหา และการตลาดได้ตรงจุด
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วย 3 ขั้นตอน:
-
ติด Google Analytics บนเว็บไซต์
-
ตั้งเป้าหมายที่ต้องการวัด เช่น การกดปุ่ม หรือการกรอกฟอร์ม
-
วิเคราะห์แล้วปรับ UX ให้คนไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
เว็บไซต์ที่ดีไม่ใช่แค่มีคนเข้าเยอะ แต่ต้อง “ใช้งานได้จริง และวัดผลได้” ด้วย


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
บทความอื่นๆ



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!ติดต่อเรา








