ขายของออนไลน์ ใช้เว็บแบบไหนดีสุด?

การขายของออนไลน์ในยุคนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ “เปิดร้านแล้วมีคนซื้อ” อีกต่อไป แต่ต้องคิดให้ลึกถึงขั้นตอนการสั่งซื้อ การจัดการออเดอร์ ความเร็วในการโหลดเว็บ ระบบการชำระเงิน ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับ “ระบบเว็บไซต์” ที่ธุรกิจเลือกใช้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะกำหนดว่า E-Commerce ของคุณจะ “ขายดีแค่ช่วงแรก” หรือ “เติบโตได้ในระยะยาว”
เว็บไซต์แบบไหนที่ธุรกิจ E-Commerce เลือกใช้ได้บ้าง?
1. เว็บไซต์สำเร็จรูป (Template-Based)
เหมาะกับผู้เริ่มต้น หรือร้านค้าขนาดเล็กที่ต้องการเปิดร้านออนไลน์เร็ว ๆ ไม่ต้องมีทีมเทคนิค เช่น Shopify, Page365, หรือ WordPress + WooCommerce
ข้อดี:
-
สร้างเว็บได้เร็ว ไม่ต้องเขียนโค้ด
-
มีระบบตะกร้าสินค้า ชำระเงิน และจัดการออเดอร์ในตัว
-
มีธีมสวย ๆ ให้เลือกเยอะ
ข้อจำกัด:
-
ปรับแต่งระบบหลังบ้านหรือฟีเจอร์เฉพาะทางได้น้อย
-
ยากต่อการเชื่อมต่อกับระบบภายในองค์กร เช่น ระบบบัญชี, ระบบสต๊อก
-
ขยายเว็บไซต์หรือเพิ่มระบบใหม่ในอนาคตอาจติดข้อจำกัดของแพลตฟอร์ม
2. เว็บไซต์พัฒนาเอง (Custom E-Commerce)
เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ หรือแบรนด์ที่มีการจัดการภายในซับซ้อน เช่น มีหลายคลังสินค้า, แยกระดับราคาตามลูกค้า, หรือมีแคมเปญโปรโมชั่นเฉพาะ
ข้อดี:
-
ออกแบบระบบให้ตรงกับ Workflow ของธุรกิจได้ 100%
-
เชื่อมต่อกับ ERP, ระบบขนส่ง, ระบบสต๊อก และ CRM ได้แบบ Real-time
-
สร้างฟีเจอร์เฉพาะที่คู่แข่งไม่มีได้ เช่น ระบบคะแนนสะสม, ระบบจัดการตัวแทนจำหน่าย, หรือระบบแนะนำสินค้าด้วย AI
-
รองรับการขยายตัวในอนาคต เช่น เพิ่ม Marketplace, ขยายตลาดต่างประเทศ หรือทำ Mobile App
ข้อควรพิจารณา:
-
ใช้เวลาและงบพัฒนาสูงกว่าเว็บสำเร็จรูป
-
ต้องมีทีมดูแลหลังเปิดใช้งาน เช่น Dev, QA, และระบบ Support
ตัวอย่างจริงของธุรกิจที่เลือกใช้เว็บพัฒนาเอง
-
Srichand: แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำที่มีระบบออเดอร์และสต๊อกที่ต้องซิงค์กันตลอดเวลา เว็บของ Srichand จึงถูกออกแบบให้รองรับระบบหลังบ้านแบบ Real-time เพื่อให้ทุกการขายจากทุกช่องทาง (เว็บ, Shopee, LINE) อัปเดตเข้าระบบกลางทันที
-
S&P: ธุรกิจอาหารที่มีทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ รายได้จาก E-Commerce เติบโตต่อเนื่อง จึงลงทุนพัฒนาเว็บไซต์เพื่อควบคุมเส้นทางของลูกค้าทั้งหมด ตั้งแต่การเลือกสินค้า การชำระเงิน ไปจนถึงการจัดส่ง โดยเชื่อมต่อกับระบบเดิมขององค์กรแบบไร้รอยต่อ
คำแนะนำในการเลือกเว็บ E-Commerce ให้เหมาะกับธุรกิจ
-
ดูความซับซ้อนของการจัดการ
-
หากคุณแค่ขายของไม่กี่ชิ้น ขนส่งง่าย ๆ ใช้เว็บสำเร็จรูปก็อาจเพียงพอ
-
แต่ถ้ามีหลายหมวดหมู่สินค้า, หลายช่องทางขาย, หรือมีทีมซัพพอร์ตหลังบ้าน ต้องเริ่มคิดถึงการพัฒนาเว็บเอง
-
ประเมินความต้องการขยายในอนาคต
-
ธุรกิจที่วางแผนขยายไปต่างประเทศ เพิ่ม Marketplace หรือทำระบบสมาชิก ควรเตรียมระบบรองรับตั้งแต่แรก
-
พิจารณาทรัพยากรที่มี
-
หากไม่มีทีมเทคนิค อาจเริ่มจากเว็บสำเร็จรูปก่อน แล้วค่อยปรับขยายเมื่อธุรกิจพร้อม
-
แต่ถ้ามีทุนและเห็นศักยภาพธุรกิจระยะยาว การลงทุนกับเว็บ Custom ตั้งแต่ต้นอาจคุ้มค่ากว่า
สรุป
-
เว็บสำเร็จรูปเหมาะกับการเริ่มต้นไว งบน้อย ใช้งานง่าย เหมาะกับร้านค้าทั่วไปหรือธุรกิจขนาดเล็ก
-
เว็บพัฒนาเองเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่น ควบคุมระบบได้ทุกจุด และมีแผนขยายระยะยาว
ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน สิ่งสำคัญคือ “เว็บของคุณต้องตอบโจทย์ลูกค้า” และ “รองรับการเติบโตของธุรกิจ” ได้อย่างมั่นคง


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








