ควรมี In-house หรือ Outsource มากกว่ากัน?
Share

คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ “ใครทำ” แต่คือ “ทำอย่างไรให้โตไปด้วยกัน”
หลายองค์กรกำลังอยู่ในจุดตัดสินใจสำคัญ — จะ “สร้างทีมเอง” หรือ “จ้างทีมภายนอก” ดี?
คำตอบอาจไม่ชัดเจน เพราะทั้งสองทางมีข้อดี ข้อจำกัด และ “ต้นทุนซ่อนเร้น” ที่ต่างกัน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ…
“คุณเข้าใจหรือยัง ว่างานแบบไหนควรอยู่ในองค์กร และงานแบบไหนควรจ้างคนนอก?”
ปัญหาที่เจอบ่อยเมื่อเลือกผิด
-
ทีม In-house ทำทุกอย่างเองจนล้า
ทีมต้องดูทั้ง Marketing, Dev, และ Content โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง → งานช้า คุณภาพลด และคนเก่งเริ่มหมดไฟ -
Outsource หลายเจ้า แต่ไม่มีใครเข้าใจธุรกิจจริง
เอเจนซี่แต่ละทีมทำงานไม่เชื่อมกัน → ข้อมูลไม่ต่อเนื่อง, แผนการตลาดกับระบบไม่สอดคล้อง -
ต้นทุนระยะยาวบานปลาย
คิดว่า “ทำเองถูกกว่า” แต่ลืมคำนวณค่าฝึกอบรม, ค่า retention, ค่าเครื่องมือ และเวลาที่เสียไปกับการเรียนรู้ระบบใหม่ - ขาด “เจ้าภาพ” ดูแลระบบรวม
ไม่มีใครเป็นเจ้าของภาพใหญ่ → ระบบแต่ละส่วนเติบโตแยกกัน จนกลายเป็น “เกาะข้อมูล” ที่เชื่อมไม่ติด
แล้ว In-house หรือ Outsource ดีกว่ากันแน่?
In-house:
เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับ กลยุทธ์หลักของธุรกิจ เช่น
-
ระบบ Core (Customer, Product, Operation)
-
Data หรือ Process ที่เป็นความลับขององค์กร
-
งานที่ต้องใช้ “ความเข้าใจวัฒนธรรม” หรือ “ข้อมูลภายใน”
Outsource:
เหมาะกับงานที่ต้องการ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือเร่งสปีดการทำงาน เช่น
-
UX Research, DevOps, Security Audit
-
Campaign การตลาดเฉพาะกิจ
-
การพัฒนาระบบ Prototype หรือ MVP
Hybrid Model: วิธีที่องค์กรยุคใหม่เลือกใช้
ไม่ต้องเลือกข้าง แต่ “จัดสมดุล” ระหว่างคนในกับคนนอก
โมเดลที่กำลังนิยมในบริษัทระดับกลางถึงใหญ่คือ “Hybrid Collaboration”
-
ให้ทีม In-house ดูแลภาพรวม กลยุทธ์ และระบบหลัก
-
ส่วน Outsource เข้ามาเสริมในส่วนที่ต้องการความเร็วหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ตัวอย่างเช่น:
บริษัท E-commerce มีทีม Tech ภายในที่ดูระบบ Order และ Payment
แต่จ้างบริษัทภายนอกช่วยดูแล Data Analytics และ Cloud Architecture เพื่อให้ระบบขยายได้เร็วขึ้น
ผลลัพธ์คือ ทีมภายในเข้าใจธุรกิจลึก ส่วนทีมภายนอกช่วยเร่งนวัตกรรมและลดภาระทางเทคนิค
วิธีประเมินว่า “งานนี้ควรอยู่ฝั่งไหน”
-
วัดความสำคัญของงานต่อเป้าหมายธุรกิจ (Business Criticality)
ถ้าเป็นสิ่งที่สร้างความได้เปรียบระยะยาว → ควร In-house -
วัดความถี่ในการใช้งาน (Frequency)
งานที่ทำเป็นครั้งคราว เช่น Audit หรือ Research → ควร Outsource -
วัดความเร็วและความยืดหยุ่นที่ต้องการ (Agility)
ถ้าต้องปรับเปลี่ยนเร็วหรือทดสอบตลาดบ่อย → ควรใช้ Outsource เสริม -
วัดต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership)
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรวมของการจ้างคนถาวร vs ค่าโปรเจกต์ภายนอก
สรุป
การตัดสินใจ “In-house หรือ Outsource” ไม่ควรเริ่มจากคำถามว่า “แบบไหนถูกกว่า” แต่ควรถามว่า
“แบบไหนทำให้ระบบของเราขยายได้อย่างยั่งยืนกว่า”
เพราะองค์กรที่เติบโตได้เร็ว ไม่ได้มาจากการมีคนมากที่สุด แต่คือองค์กรที่ “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำเอง และเมื่อไหร่ควรขอความช่วยจากผู้เชี่ยวชาญ”
สุดท้าย...
ธุรกิจที่ฉลาดไม่ใช่ธุรกิจที่ทำทุกอย่างเอง แต่คือธุรกิจที่ สร้างระบบร่วมมือได้อย่างชาญฉลาด และให้ “คนในกับคนนอก” เติบโตไปพร้อมกั

Share

Keep me postedto follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Related articles
Explore all


