ควรมี In-house หรือ Outsource มากกว่ากัน?

2 mins read

Published

9 December, 2025

Language

Thai

Written by

Share

ควรมี In-house หรือ Outsource มากกว่ากัน?

คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ “ใครทำ” แต่คือ “ทำอย่างไรให้โตไปด้วยกัน”
หลายองค์กรกำลังอยู่ในจุดตัดสินใจสำคัญ — จะ “สร้างทีมเอง” หรือ “จ้างทีมภายนอก” ดี?
คำตอบอาจไม่ชัดเจน เพราะทั้งสองทางมีข้อดี ข้อจำกัด และ “ต้นทุนซ่อนเร้น” ที่ต่างกัน

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ…

“คุณเข้าใจหรือยัง ว่างานแบบไหนควรอยู่ในองค์กร และงานแบบไหนควรจ้างคนนอก?”

 

 

 

ปัญหาที่เจอบ่อยเมื่อเลือกผิด

  1. ทีม In-house ทำทุกอย่างเองจนล้า
    ทีมต้องดูทั้ง Marketing, Dev, และ Content โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง → งานช้า คุณภาพลด และคนเก่งเริ่มหมดไฟ

  2. Outsource หลายเจ้า แต่ไม่มีใครเข้าใจธุรกิจจริง
    เอเจนซี่แต่ละทีมทำงานไม่เชื่อมกัน → ข้อมูลไม่ต่อเนื่อง, แผนการตลาดกับระบบไม่สอดคล้อง

  3. ต้นทุนระยะยาวบานปลาย
    คิดว่า “ทำเองถูกกว่า” แต่ลืมคำนวณค่าฝึกอบรม, ค่า retention, ค่าเครื่องมือ และเวลาที่เสียไปกับการเรียนรู้ระบบใหม่

  4. ขาด “เจ้าภาพ” ดูแลระบบรวม
     ไม่มีใครเป็นเจ้าของภาพใหญ่ → ระบบแต่ละส่วนเติบโตแยกกัน จนกลายเป็น “เกาะข้อมูล” ที่เชื่อมไม่ติด

 

 

แล้ว In-house หรือ Outsource ดีกว่ากันแน่?

In-house:
เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับ กลยุทธ์หลักของธุรกิจ เช่น

  • ระบบ Core (Customer, Product, Operation)

  • Data หรือ Process ที่เป็นความลับขององค์กร

  • งานที่ต้องใช้ “ความเข้าใจวัฒนธรรม” หรือ “ข้อมูลภายใน”

Outsource:
เหมาะกับงานที่ต้องการ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือเร่งสปีดการทำงาน เช่น

  • UX Research, DevOps, Security Audit

  • Campaign การตลาดเฉพาะกิจ

  • การพัฒนาระบบ Prototype หรือ MVP

 

Hybrid Model: วิธีที่องค์กรยุคใหม่เลือกใช้

ไม่ต้องเลือกข้าง แต่ “จัดสมดุล” ระหว่างคนในกับคนนอก

โมเดลที่กำลังนิยมในบริษัทระดับกลางถึงใหญ่คือ “Hybrid Collaboration”

  • ให้ทีม In-house ดูแลภาพรวม กลยุทธ์ และระบบหลัก

  • ส่วน Outsource เข้ามาเสริมในส่วนที่ต้องการความเร็วหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ตัวอย่างเช่น:
บริษัท E-commerce มีทีม Tech ภายในที่ดูระบบ Order และ Payment
แต่จ้างบริษัทภายนอกช่วยดูแล Data Analytics และ Cloud Architecture เพื่อให้ระบบขยายได้เร็วขึ้น

ผลลัพธ์คือ ทีมภายในเข้าใจธุรกิจลึก ส่วนทีมภายนอกช่วยเร่งนวัตกรรมและลดภาระทางเทคนิค

 

วิธีประเมินว่า “งานนี้ควรอยู่ฝั่งไหน”

  1. วัดความสำคัญของงานต่อเป้าหมายธุรกิจ (Business Criticality)
    ถ้าเป็นสิ่งที่สร้างความได้เปรียบระยะยาว → ควร In-house

  2. วัดความถี่ในการใช้งาน (Frequency)
    งานที่ทำเป็นครั้งคราว เช่น Audit หรือ Research → ควร Outsource

  3. วัดความเร็วและความยืดหยุ่นที่ต้องการ (Agility)
    ถ้าต้องปรับเปลี่ยนเร็วหรือทดสอบตลาดบ่อย → ควรใช้ Outsource เสริม

  4. วัดต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership)
    เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรวมของการจ้างคนถาวร vs ค่าโปรเจกต์ภายนอก

สรุป

การตัดสินใจ “In-house หรือ Outsource” ไม่ควรเริ่มจากคำถามว่า “แบบไหนถูกกว่า” แต่ควรถามว่า

“แบบไหนทำให้ระบบของเราขยายได้อย่างยั่งยืนกว่า”

เพราะองค์กรที่เติบโตได้เร็ว ไม่ได้มาจากการมีคนมากที่สุด แต่คือองค์กรที่ “รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำเอง และเมื่อไหร่ควรขอความช่วยจากผู้เชี่ยวชาญ”

สุดท้าย...
ธุรกิจที่ฉลาดไม่ใช่ธุรกิจที่ทำทุกอย่างเอง แต่คือธุรกิจที่ สร้างระบบร่วมมือได้อย่างชาญฉลาด และให้ “คนในกับคนนอก” เติบโตไปพร้อมกั

 

Written by
Nun Nuntachat Youpanich
Nun Nuntachat Youpanich

Share

Keep me posted
to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

More than 120,000 people/day  visit to read our blogs

Related articles

Explore all

Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง
10 Dec, 2025

by

Preview email ด้วย Letter Opener
Preview email ด้วย Letter Opener
Letter Opener เป็น gem ของ ที่ใช้แสดงรูปแบบของอีเมลที่เราต้องการจะส่ง ก่อนที่จะส่งจริง เพื่อให้ง่ายและไวต่อการทดสอบ Let's Get started... Installation เพิ่ม Gem ใน Gemfile จากนั้นรัน `bundle install` # Gemfile group :development do gem "letter_opener" gem "letter_opener_web", "~> 1.0" end กำหนดการส่งอีเมลโดยใช้ letter_opener (กรณี Production จะใช้เป็น :smtp) # config/environments/development.rb config.action_mailer.delivery_method
10 Dec, 2025

by

การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need
10 Dec, 2025

by

Contact Senna Labs at :

hello@sennalabs.com28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599
© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved. | Privacy policy