Role-Based Access Control (RBAC): การกำหนดสิทธิ์ตามบทบาทผู้ใช้งาน

ในโลกของซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานหลากหลายประเภท Role-Based Access Control (RBAC) หรือ การควบคุมสิทธิ์ตามบทบาทผู้ใช้งาน เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและฟีเจอร์ต่าง ๆ ในระบบอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ RBAC อย่างง่ายดาย พร้อมตัวอย่างจากแพลตฟอร์มชื่อดังที่เราคุ้นเคย
Role-Based Access Control (RBAC) คืออะไร?
RBAC คือ วิธีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงระบบหรือข้อมูลโดยพิจารณาจาก บทบาทของผู้ใช้งานในระบบ (Role) ซึ่งบทบาทเหล่านี้จะถูกกำหนดล่วงหน้าว่ามีสิทธิ์ทำอะไรได้บ้าง
ตัวอย่างเช่น:
- ผู้ดูแลระบบ (Admin): มีสิทธิ์จัดการผู้ใช้และเปลี่ยนการตั้งค่าระบบ
- ผู้ใช้งานทั่วไป (User): มีสิทธิ์เฉพาะการดูข้อมูลและใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน
ทำไม RBAC ถึงสำคัญ?
- เพิ่มความปลอดภัย: จำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่จำเป็น ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
- จัดการง่าย: ไม่ต้องกำหนดสิทธิ์รายบุคคล เพียงจัดกลุ่มตามบทบาท
- ลดข้อผิดพลาด ป้องกันปัญหาที่เกิดจากการกำหนดสิทธิ์ผิดพลาด
องค์ประกอบของ RBAC
- Role (บทบาท): กำหนดหน้าที่หรือสถานะของผู้ใช้งาน เช่น Admin, Editor, Viewer
- Permission (สิทธิ์): ระบุว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น อ่านข้อมูล, แก้ไขข้อมูล, ลบข้อมูล
- User (ผู้ใช้งาน): ผู้ที่ได้รับบทบาทในระบบและมีสิทธิ์ตามบทบาทนั้น
ตัวอย่างในชีวิตประจำวันของ RBAC
1. Google Workspace
สำหรับการจัดการองค์กร
- Admin: จัดการบัญชีผู้ใช้งานทั้งหมด เช่น การสร้างบัญชีใหม่, ปิดบัญชี หรือกำหนดสิทธิ์ให้ทีม
สำหรับเอกสาร (Google Docs, Sheets, Slides)
- Editor: สามารถแก้ไขเอกสารได้เต็มรูปแบบ
- Commenter: เพิ่มความคิดเห็นได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขเนื้อหา
- Viewer: อ่านเนื้อหาได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเพิ่มความคิดเห็น
ตัวอย่าง: ทีมงานที่ใช้ Google Docs ร่วมกัน โดยนักเขียนได้รับสิทธิ์ Editor, ผู้ตรวจสอบเนื้อหาได้รับสิทธิ์ Commenter และผู้บริหารที่ต้องการดูรายงานได้รับสิทธิ์ Viewer
2. Facebook Page
- Admin: มีสิทธิ์ทุกอย่าง เช่น เพิ่มหรือลบทีมงาน, โพสต์เนื้อหา, และตอบข้อความ
- Editor: โพสต์และตอบข้อความได้ แต่ไม่สามารถจัดการทีมงาน
- Moderator: ตอบข้อความและจัดการความคิดเห็นได้ แต่ไม่สามารถโพสต์เนื้อหา
ตัวอย่าง: เพจของธุรกิจที่มีทีมงานดูแลแตกต่างกัน เช่น Admin เป็นเจ้าของธุรกิจ, Editor เป็นทีมการตลาด, และ Moderator เป็นทีมบริการลูกค้า
3. Netflix
- Owner (เจ้าของบัญชี): จัดการบัญชี เช่น เพิ่มโปรไฟล์, เปลี่ยนแผนการใช้งาน
- Profile Viewer: ใช้โปรไฟล์เพื่อดูเนื้อหาเท่านั้น
ตัวอย่าง: เจ้าของบัญชี Netflix สามารถจัดการโปรไฟล์ทุกอันในบัญชีเดียว ขณะที่สมาชิกในครอบครัวดูได้เฉพาะเนื้อหาของโปรไฟล์ตัวเอง
4. E-Commerce Platform (Shopee, Lazada)
- Seller: อัปโหลดสินค้า, จัดการคำสั่งซื้อ
- Buyer: ดูสินค้าและทำการสั่งซื้อ
- Admin: ดูแลระบบทั้งหมด เช่น จัดการข้อร้องเรียนของลูกค้าและผู้ขาย
ตัวอย่าง: ร้านค้าใน Shopee มีพนักงาน 2 คน คนหนึ่งดูแลการอัปโหลดสินค้า (Seller) และอีกคนตอบคำถามลูกค้า (Admin)
ข้อดีของ RBAC
- ความปลอดภัยสูงขึ้น: ผู้ใช้งานแต่ละคนสามารถเข้าถึงเฉพาะข้อมูลหรือฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของพวกเขา
- การบริหารจัดการง่าย: เมื่อมีพนักงานใหม่ในองค์กร เพียงกำหนดบทบาท ไม่ต้องตั้งค่าสิทธิ์ทีละรายการ
- รองรับการขยายระบบ: เหมาะสำหรับองค์กรหรือระบบที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
วิธีออกแบบ RBAC ที่ดี
1. กำหนดบทบาทอย่างชัดเจน
- วางแผนบทบาทที่เหมาะสมกับระบบ เช่น Admin, Moderator, Viewer
ตัวอย่าง: ในระบบ YouTube Studio ผู้ดูแลช่อง (Channel Manager) สามารถอัปโหลดวิดีโอและจัดการข้อมูลได้ แต่ผู้ช่วย (Contributor) จะมีสิทธิ์แค่การอัปโหลดวิดีโอเท่านั้น
2. จำกัดสิทธิ์ตามความจำเป็น
- ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเฉพาะข้อมูลหรือฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขา
ตัวอย่าง: ใน Slack ผู้ดูแลระบบสามารถสร้างห้องใหม่ได้ แต่สมาชิกในทีมทั่วไปสามารถเข้าร่วมและสนทนาในห้องที่ได้รับเชิญเท่านั้น
3. สร้างระบบตรวจสอบสิทธิ์
- ตรวจสอบการใช้งานสิทธิ์และบันทึกการกระทำ
ตัวอย่าง: ในระบบ AWS (Amazon Web Services) สามารถตรวจสอบกิจกรรมที่ทำโดยผู้ใช้แต่ละคนได้ผ่าน AWS CloudTrail
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RBAC
1. RBAC เหมาะกับระบบขนาดเล็กหรือไม่?
คำตอบ: เหมาะสม เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการสิทธิ์ แม้ในระบบที่มีผู้ใช้งานน้อย
ตัวอย่าง: ร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กที่ใช้ Shopify สามารถกำหนดสิทธิ์ให้พนักงาน เช่น การจัดการคำสั่งซื้อหรือการดูแลลูกค้า
2. RBAC ช่วยลดปัญหาการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไร?
คำตอบ: ด้วยการกำหนดสิทธิ์เฉพาะเจาะจงตามบทบาท เช่น ให้พนักงานฝ่ายการตลาดเข้าถึงข้อมูลการขายได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลผลิตภัณฑ์
ตัวอย่าง: Salesforce ใช้ RBAC ในการจัดการสิทธิ์ของพนักงานในแต่ละทีม
3. ระบบควรอนุญาตให้ผู้ใช้งานมีบทบาทหลายบทบาทในระบบเดียวได้หรือไม่?
คำตอบ: ขึ้นอยู่กับลักษณะของระบบ ในบางกรณีการกำหนดบทบาทหลายอย่างอาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
ตัวอย่าง: ใน JIRA ผู้ใช้งานอาจเป็นทั้ง Developer (เขียนโค้ด) และ Reviewer (ตรวจสอบงาน) ในโครงการเดียวกัน
สรุป:
Role-Based Access Control (RBAC) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการสิทธิ์การใช้งานในระบบ ตัวอย่างจาก Google Workspace, Facebook Page, และ Netflix ช่วยแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของ RBAC


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








