การใช้ WordPress ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้

Business
3 mins read
3 mins read

Published

13 November, 2024

Language

Thai

Written by

Share

การใช้ WordPress ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้

การเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถปรับปรุงเนื้อหาและการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Analytics สามารถช่วยเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น หน้าที่ผู้เข้าชมบ่อยที่สุด เวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ และการโต้ตอบกับเนื้อหา ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้และช่วยให้เว็บไซต์บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

 

กรณีศึกษา: การใช้ Google Analytics บนเว็บไซต์รีวิวสินค้า

เว็บไซต์รีวิวสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งได้ใช้ปลั๊กอินเชื่อมต่อกับ Google Analytics เพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ ข้อมูลที่ได้ช่วยให้ทีมงานสามารถดูว่าผู้เข้าชมสนใจหน้าบทความรีวิวใดเป็นพิเศษ หรือเนื้อหาประเภทใดที่มีการโต้ตอบมากที่สุด ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ทำให้ทีมงานสามารถปรับเนื้อหาและออกแบบเว็บไซต์ใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้

การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้เป็นวิธีที่ช่วยให้เราทราบถึงความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์รีวิวสินค้าที่ต้องการให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและกลับมาใช้งานซ้ำ เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้สามารถทราบได้ว่าเนื้อหาประเภทใดที่ได้รับความนิยม หน้าเว็บไหนที่ควรปรับปรุง และช่องทางใดที่ควรลงทุนเพิ่มเพื่อดึงดูดผู้ใช้

เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลบน WordPress

การติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลบน WordPress สามารถทำได้ง่ายดายด้วยปลั๊กอินที่รองรับการใช้งานร่วมกับ Google Analytics และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลอื่น ๆ การใช้ปลั๊กอินทำให้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก และสามารถดูข้อมูลเชิงลึกได้ทันทีบนแดชบอร์ด WordPress ปลั๊กอินยอดนิยมที่สามารถใช้งานได้มีดังนี้

1. Google Analytics Dashboard for WP (GADWP)

ปลั๊กอินนี้เป็นหนึ่งในปลั๊กอินที่ได้รับความนิยมในการเชื่อมต่อ Google Analytics กับ WordPress โดยมีคุณสมบัติในการแสดงข้อมูลสถิติต่าง ๆ บนแดชบอร์ด WordPress เช่น จำนวนการเข้าชมหน้าเว็บ อัตราการออกจากหน้าเว็บ (Bounce Rate) และระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บ ทำให้ผู้ดูแลสามารถตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าสู่ Google Analytics

  • การแสดงข้อมูลเรียลไทม์: ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าชมแบบเรียลไทม์ เช่น จำนวนผู้ใช้ที่เข้ามาและหน้าเว็บที่กำลังมีการเข้าชม

  • การติดตามเหตุการณ์ (Event Tracking): ปลั๊กอินนี้รองรับการติดตามการโต้ตอบ เช่น การคลิกปุ่ม ดาวน์โหลดไฟล์ หรือการดูวิดีโอ ทำให้สามารถวิเคราะห์การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

2. MonsterInsights

MonsterInsights เป็นปลั๊กอิน Google Analytics ที่มีความยืดหยุ่นและมีฟีเจอร์ที่ครอบคลุม ทำให้การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้เป็นเรื่องง่ายและละเอียดมากขึ้น

  • การติดตามลิงก์และการคลิก: ปลั๊กอินนี้ช่วยให้สามารถติดตามลิงก์และการคลิกต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เช่น ลิงก์ภายในและลิงก์ออกไปยังเว็บไซต์อื่น

  • การติดตามการขายและคอนเวอร์ชัน: MonsterInsights รองรับการติดตามอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลการซื้อขายและคอนเวอร์ชันได้โดยตรงจากแดชบอร์ด WordPress

  • การติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนมือถือ: ปลั๊กอินนี้ยังรองรับการติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ผ่านมือถือ ทำให้สามารถปรับปรุง UX ให้สอดคล้องกับการใช้งานบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

3. ExactMetrics

ExactMetrics เป็นอีกหนึ่งปลั๊กอินที่เชื่อมต่อ Google Analytics กับ WordPress ได้ง่ายและให้ข้อมูลเชิงลึกอย่างครบถ้วน ExactMetrics ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถติดตามข้อมูลต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตของผู้เข้าชม และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

  • การรายงานคอนเวอร์ชัน: ExactMetrics ช่วยให้สามารถดูข้อมูลการคอนเวอร์ชัน และอัตราการคลิกที่เกิดขึ้นบนหน้าเว็บ

  • การติดตามการเลื่อนหน้า (Scroll Tracking): คุณสมบัตินี้ช่วยให้ทราบว่าผู้ใช้เลื่อนอ่านหน้าเว็บได้ถึงตำแหน่งใด ทำให้สามารถปรับปรุงเนื้อหาให้น่าสนใจมากขึ้น

  • การรายงานเชิงลึกบนแดชบอร์ด WordPress: ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลสถิติทั้งหมดได้จากแดชบอร์ด WordPress ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ Google Analytics โดยตรง

การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้และการปรับปรุงเว็บไซต์

เมื่อได้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้จากเครื่องมือวิเคราะห์แล้ว สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการวิเคราะห์ที่สำคัญและการนำไปใช้เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์มีดังนี้

1. การวิเคราะห์หน้าเว็บที่มีการเข้าชมสูงที่สุด

การรู้ว่าหน้าเว็บใดที่ผู้เข้าชมสนใจมากที่สุดช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถปรับปรุงเนื้อหาและนำเสนอข้อมูลที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้

  • การปรับปรุงเนื้อหาบนหน้าที่ได้รับความนิยม: หน้าที่มีการเข้าชมสูงเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มเนื้อหาที่มีคุณค่า เช่น การเพิ่มข้อมูลใหม่หรือการอัปเดตข้อมูลเดิมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

  • เพิ่มลิงก์ไปยังเนื้อหาอื่น ๆ: การเพิ่มลิงก์ภายในไปยังบทความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องช่วยเพิ่มการเข้าชมและสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ใช้

2. การวิเคราะห์การโต้ตอบของผู้ใช้กับเนื้อหา (Engagement)

การดูข้อมูลการโต้ตอบของผู้ใช้ เช่น การคลิกปุ่ม การดูวิดีโอ และการดาวน์โหลดเอกสาร ช่วยให้เราทราบว่าเนื้อหาใดที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ

  • เพิ่มเนื้อหาที่มีปฏิสัมพันธ์: หากพบว่าเนื้อหาที่มีการโต้ตอบสูงเป็นวิดีโอ การเพิ่มวิดีโอเพิ่มเติมในหน้าที่สำคัญหรือในหน้าหลักช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้

  • สร้างเนื้อหาที่มีความหลากหลาย: การวิเคราะห์การโต้ตอบช่วยให้สามารถทดลองสร้างเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บทความที่มีภาพประกอบหรือแบบสำรวจ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

3. การวิเคราะห์ Bounce Rate

Bounce Rate หรืออัตราการออกจากเว็บไซต์แสดงถึงจำนวนผู้ใช้ที่ออกจากหน้าเว็บโดยไม่ทำการโต้ตอบใด ๆ การดูอัตราการออกจากหน้าเว็บช่วยให้ทราบว่าหน้าไหนที่ควรปรับปรุงเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้อยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น

  • ปรับปรุงการออกแบบ UX/UI: หากหน้าเว็บมีอัตราการออกสูง ควรพิจารณาปรับปรุงการออกแบบให้ดึงดูดและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

  • เพิ่ม Call-to-Action (CTA): การเพิ่มปุ่มหรือข้อความ CTA บนหน้าที่มี Bounce Rate สูงช่วยเพิ่มการโต้ตอบของผู้ใช้และลดอัตราการออกจากเว็บไซต์

4. การวิเคราะห์แหล่งที่มาของการเข้าชม (Traffic Source)

การรู้ว่าแหล่งที่มาของการเข้าชมมาจากที่ใด เช่น การค้นหาผ่าน Google การเข้าชมจากโซเชียลมีเดีย หรือการเข้าชมโดยตรง ช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เพิ่มการโปรโมทเนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย: หากการเข้าชมจากโซเชียลมีเดียมีอัตราสูง ควรพิจารณาเพิ่มการโปรโมทเนื้อหาบนช่องทางนั้น ๆ เพื่อดึงดูดผู้ใช้เพิ่มขึ้น

  • ปรับแต่ง SEO เพื่อดึงการเข้าชมจากการค้นหา: หากพบว่าการเข้าชมจากการค้นหาต่ำ ควรพิจารณาเพิ่มคำค้นหาและปรับแต่งเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของ Google

5. การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนมือถือ

การดูพฤติกรรมผู้ใช้บนอุปกรณ์มือถือช่วยให้สามารถปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ใช้จำนวนมากเข้าชมเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ

  • ปรับการออกแบบให้รองรับการใช้งานบนมือถือ: หากผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าชมเว็บไซต์ผ่านมือถือ ควรปรับการออกแบบให้รองรับหน้าจอขนาดเล็กและโหลดได้เร็วขึ้น

  • เพิ่มฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบนมือถือ: การเพิ่มฟีเจอร์เช่นปุ่มโทรติดต่อหรือแชทสดบนหน้าเว็บช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น

ข้อสรุป

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับ WordPress เช่น Google Analytics ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น การใช้ปลั๊กอินเช่น MonsterInsights, ExactMetrics และ GADWP ทำให้การเชื่อมต่อกับ Google Analytics บน WordPress เป็นไปอย่างง่ายดายและช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถดูข้อมูลได้ทันทีจากแดชบอร์ด WordPress

การปรับปรุงเว็บไซต์จากข้อมูลเชิงลึก เช่น การปรับปรุงเนื้อหา การเพิ่ม CTA และการปรับ UX ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้ ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้และเพิ่มการเข้าชม รวมถึงทำให้เว็บไซต์มีความน่าสนใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน

 

Written by
Aon Boriwat Jirabanditsakul
Aon Boriwat Jirabanditsakul

Share

Keep me posted
to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

More than 120,000 people/day  visit to read our blogs

Related articles

Explore all

Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง
16 Sep, 2025

by

How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital
16 Sep, 2025

by

การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need
16 Sep, 2025

by

Contact Senna Labs at :

hello@sennalabs.com28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599
© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved. | Privacy policy