19Nov, 2024
Language blog :
Thai
Share blog : 
19 November, 2024
Thai

การใช้ SEO บน WordPress เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจ

By

3 mins read
การใช้ SEO บน WordPress เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจ

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับสูงขึ้นในการค้นหาบน Google ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและการเข้าชมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ WordPress เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและมีปลั๊กอินมากมายที่สามารถช่วยเสริมสร้าง SEO ได้ดี เมื่อใช้งานอย่างถูกต้อง SEO สามารถทำให้เว็บไซต์เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพิ่มการเข้าชมจากการค้นหา และทำให้ธุรกิจของคุณได้รับความสนใจมากขึ้น บทความนี้จะพาท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ SEO บน WordPress ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

ความสำคัญของ SEO สำหรับธุรกิจบน WordPress

การใช้ SEO บนเว็บไซต์ WordPress มีความสำคัญอย่างมากเพราะ WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมีเครื่องมือที่หลากหลายในการปรับแต่ง SEO ให้มีประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ SEO จะสามารถเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น และมีโอกาสเพิ่มการแปลง (Conversion Rate) จากการเข้าชมที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

กรณีศึกษา: บล็อกด้านการออกกำลังกายกับการใช้ SEO บน WordPress

บล็อกด้านการออกกำลังกายหนึ่งได้ใช้เครื่องมือ SEO บน WordPress เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพสูงและตรงตามคำค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย โดยการเพิ่มคำค้นหา (Keywords) ที่เกี่ยวข้อง การปรับแต่งเนื้อหาและการใช้ปลั๊กอินเสริม SEO ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าชมจากการค้นหาผ่าน Google อย่างต่อเนื่อง และทำให้เว็บไซต์ได้รับความสนใจมากขึ้น

วิธีการเพิ่ม SEO บน WordPress ให้มีประสิทธิภาพ

การทำ SEO บน WordPress มีหลายขั้นตอนซึ่งสามารถทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีอันดับที่ดีขึ้นในการค้นหาบน Google ขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ การเลือกคำค้นหา การปรับแต่งเนื้อหา การใช้ปลั๊กอิน SEO และการวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ

1. การวิจัยคำค้นหา (Keyword Research)

การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกของการทำ SEO ที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหาของคุณตรงกับคำที่ผู้ใช้ค้นหา และเพื่อให้มีโอกาสสูงขึ้นที่เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาของ Google

  • เลือกคำค้นหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย: ใช้คำค้นหาที่ผู้ใช้กลุ่มเป้าหมายมักจะใช้ในการค้นหาบริการหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

  • ใช้เครื่องมือวิจัยคำค้นหา: เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ Ubersuggest ช่วยให้คุณทราบถึงคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีความยากง่ายในการแข่งขัน

  • เน้นการใช้คำค้นหาทั้งแบบสั้นและแบบยาว (Short-tail และ Long-tail Keywords): คำค้นหาแบบยาวอาจมีการแข่งขันต่ำและเหมาะกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า

2. การปรับแต่งเนื้อหาและหัวข้อ (Content and Title Optimization)

การปรับแต่งเนื้อหาและหัวข้อให้ตรงกับคำค้นหาเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและสามารถจัดอันดับเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

  • ใช้คำค้นหาในหัวข้อและคำอธิบาย: การใส่คำค้นหาที่สำคัญในหัวข้อ (Title) และคำอธิบาย (Meta Description) จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในการค้นหามากขึ้น

  • เขียนเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้: Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีประโยชน์และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพช่วยให้มีโอกาสในการแชร์และลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น

  • ปรับความยาวของบทความ: เนื้อหาที่มีความยาวตั้งแต่ 1,000 คำขึ้นไปมักจะมีโอกาสในการจัดอันดับที่ดีกว่า แต่ควรให้แน่ใจว่าเนื้อหายังคงมีคุณค่าและไม่ซ้ำซ้อน

3. การใช้ปลั๊กอิน SEO บน WordPress

WordPress มีปลั๊กอิน SEO หลายตัวที่ช่วยให้การจัดการ SEO ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลั๊กอินที่ได้รับความนิยมและใช้งานได้ดีมีดังนี้

  • Yoast SEO: Yoast SEO เป็นปลั๊กอินที่ช่วยให้การจัดการ SEO ในทุกขั้นตอน เช่น การสร้าง Title และ Meta Description การปรับแต่งคำค้นหา การแนะนำการเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับ SEO และการสร้างแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap)

  • Rank Math: Rank Math เป็นปลั๊กอินที่มีฟังก์ชัน SEO ครบครัน รวมถึงการสร้างแผนผังเว็บไซต์ การตั้งค่า Schema Markup การวิเคราะห์คำค้นหา และการวิเคราะห์อันดับในผลการค้นหา

  • All in One SEO Pack: ปลั๊กอินนี้เป็นตัวช่วยในการจัดการ SEO ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย เช่น การสร้าง Title และ Meta Tags อัตโนมัติ และการรองรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย

4. การสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (Backlinks)

การสร้างลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอกมีบทบาทสำคัญในการทำ SEO โดยช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และทำให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ

  • การเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking): ลิงก์ภายในช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มเวลาในการเข้าชมและลดอัตราการออกจากหน้า (Bounce Rate)

  • สร้าง Backlinks คุณภาพ: การได้รับ Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณช่วยให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพ ทำให้มีโอกาสในการจัดอันดับสูงขึ้น

5. การปรับปรุงประสิทธิภาพการโหลดเว็บไซต์

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับ SEO Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วเพราะส่งผลดีต่อประสบการณ์ของผู้ใช้

  • ใช้ปลั๊กอินสำหรับการแคช (Caching): ปลั๊กอินเช่น W3 Total Cache หรือ WP Super Cache ช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นโดยการจัดเก็บข้อมูลชั่วคราว

  • บีบอัดรูปภาพ: ใช้ปลั๊กอินเช่น Smush หรือ ShortPixel เพื่อบีบอัดรูปภาพบนเว็บไซต์ให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า

  • ลดจำนวนปลั๊กอินที่ใช้งาน: ปลั๊กอินที่มากเกินไปอาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง การลดจำนวนปลั๊กอินและใช้งานเฉพาะที่จำเป็นช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้เร็วขึ้น

6. การใช้ Schema Markup เพื่อเพิ่มความโดดเด่นในผลการค้นหา

Schema Markup เป็นโค้ดที่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น และแสดงข้อมูลเพิ่มเติมในผลการค้นหา เช่น คะแนนรีวิว ราคา หรือข้อมูลสินค้า

  • การใช้ Schema Markup สำหรับบทความและผลิตภัณฑ์: การใช้ Schema Markup ทำให้บทความหรือผลิตภัณฑ์ของคุณมีโอกาสปรากฏเป็น Rich Snippet ซึ่งช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้มากขึ้น

  • ปลั๊กอิน Schema Markup: ปลั๊กอินเช่น Schema Pro หรือ Rank Math มีฟีเจอร์ Schema Markup ที่ช่วยให้สามารถติดตั้งและใช้งานได้ง่าย

7. การวิเคราะห์และปรับปรุง SEO อย่างสม่ำเสมอ

การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องการการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การติดตามผลการทำ SEO และทำการปรับปรุงตามข้อมูลที่ได้รับช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสในการพัฒนาและคงอันดับที่ดีในผลการค้นหา

  • ใช้ Google Analytics: Google Analytics ช่วยให้สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น จำนวนการเข้าชม หน้าเว็บที่มีผู้เข้าชมสูง และอัตราการออกจากหน้า

  • ใช้ Google Search Console: Google Search Console ช่วยให้สามารถดูคำค้นหาที่ผู้ใช้ใช้เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ การปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับคำค้นหายอดนิยมจะช่วยเพิ่มการเข้าชม

  • ปรับปรุง SEO ตามข้อมูลที่ได้: ใช้ข้อมูลจากเครื่องมือต่าง ๆ ในการปรับปรุง SEO เช่น ปรับปรุงคำค้นหา ปรับปรุงเนื้อหาที่มีผู้เข้าชมต่ำ หรือเพิ่มลิงก์ภายในไปยังเนื้อหาที่มีคุณค่า

ข้อสรุป

การทำ SEO บน WordPress เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์คำค้นหา การปรับแต่งเนื้อหา การใช้ปลั๊กอิน SEO และการสร้างลิงก์ทั้งภายในและภายนอก เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด การทำ SEO อย่างต่อเนื่องและการปรับปรุงเว็บไซต์ตามข้อมูลเชิงลึกจากเครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ ช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจเติบโตและได้รับการเข้าชมที่เพิ่มขึ้น

 

Written by
Ae Tharatip Maneewan
Ae Tharatip Maneewan

Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

- More than 120,000 people/day visit to read our blogs

Other articles for you

27
November, 2024
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
27 November, 2024
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง

By

3 mins read
Thai
27
November, 2024
How SennaLabs helped S&P Food transform their online e-commerce business
27 November, 2024
How SennaLabs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital

By

4 mins read
English
27
November, 2024
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
27 November, 2024
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need

By

3 mins read
Thai

Let’s build digital products that are
simply awesome !

We will get back to you within 24 hours!Go to contact us
Please tell us your ideas.
- Senna Labsmake it happy
Contact ball
Contact us bg 2
Contact us bg 4
Contact us bg 1
Ball leftBall rightBall leftBall right
Sennalabs gray logo28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599hello@sennalabs.com© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved.