การตรวจสอบเว็บไซต์ด้วย Technical SEO Audit
ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน การมีเว็บไซต์ที่ทำงานได้ดีและเป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับธุรกิจออนไลน์ การทำ Technical SEO Audit เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราระบุปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา การตรวจสอบนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ แต่ยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงขั้นตอนและข้อควรระวังในการทำ Technical SEO Audit พร้อมทั้งยกตัวอย่างกรณีศึกษาจริงที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบและการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์
ความสำคัญของการทำ Technical SEO Audit
การทำ Technical SEO Audit ช่วยให้เราระบุปัญหาที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างของเว็บไซต์หรือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการจัดอันดับบนเครื่องมือค้นหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโหลดหน้าเว็บที่ช้า การตั้งค่า URL ที่ไม่เหมาะสม หรือปัญหาการเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ
ประโยชน์หลักของการทำ Technical SEO Audit:
-
เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์: การปรับปรุงความเร็วการโหลดหน้าเว็บจะช่วยลดอัตราการออกจากหน้าเว็บและทำให้ผู้ใช้พึงพอใจมากขึ้น
-
แก้ไขปัญหาในการเข้าถึงเนื้อหา: ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถทำดัชนีเนื้อหาได้ถูกต้อง
-
เพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์: การใช้ SSL Certificate และการปรับตั้งค่าอื่น ๆ จะช่วยเสริมความปลอดภัยของเว็บไซต์
-
ปรับปรุงการใช้งานเว็บไซต์บนมือถือ: ช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้ดีในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
ขั้นตอนในการทำ Technical SEO Audit
1. ตรวจสอบการทำงานของเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่าง ๆ
การทำงานของเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงผลบนมือถือ เครื่องมือค้นหามักให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ
-
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Mobile-Friendly): ใช้เครื่องมือ เช่น Google Mobile-Friendly Test เพื่อดูว่าเว็บไซต์แสดงผลบนมือถืออย่างเหมาะสมหรือไม่
-
ตรวจสอบความเร็วในการโหลดบนมือถือ: ตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีการโหลดรวดเร็วและไม่หนักเกินไปสำหรับผู้ใช้งานบนมือถือ
2. ตรวจสอบโครงสร้าง URL และการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking)
โครงสร้าง URL ที่ชัดเจนและเป็นมิตรต่อ SEO จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถทำดัชนีและเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
-
ตั้งค่า URL ที่สั้นและเข้าใจง่าย: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรือสัญลักษณ์พิเศษใน URL และเลือกใช้คำที่สื่อความหมายแทน
-
ปรับปรุงการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking): การเชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ช่วยเสริมความเข้าใจให้กับผู้ใช้งานและเพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบ
3. ตรวจสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นปัจจัยที่มีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้อาจเลือกที่จะออกจากเว็บไซต์
-
ใช้เครื่องมือ PageSpeed Insights: เพื่อดูคะแนนความเร็วของหน้าเว็บและคำแนะนำในการปรับปรุง
-
ลดขนาดไฟล์ภาพและการบีบอัด: ตรวจสอบว่าภาพและวิดีโอบนเว็บไซต์ไม่หนักเกินไป ซึ่งจะช่วยให้การโหลดเร็วขึ้น
4. ตรวจสอบการใช้งาน SSL Certificate
การใช้ SSL Certificate เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเว็บไซต์ นอกจากนี้ การใช้ SSL ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ในสายตาของเครื่องมือค้นหา
-
ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS: เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะมีความปลอดภัยสูงกว่า HTTP ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน
-
ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยอื่น ๆ: เช่น การป้องกันการโจมตีจากบุคคลที่สาม (SQL Injection และ Cross-Site Scripting)
5. ตรวจสอบการตั้งค่าไฟล์ Robots.txt และ Sitemap
ไฟล์ Robots.txt และ Sitemap เป็นส่วนสำคัญในการให้คำแนะนำแก่เครื่องมือค้นหาว่าควรทำดัชนีหน้าใดบ้าง
-
ตรวจสอบว่า Robots.txt กำหนดค่าถูกต้อง: Robots.txt ควรระบุหน้าและไฟล์ที่เครื่องมือค้นหาควรและไม่ควรทำดัชนี
-
ตรวจสอบ Sitemap: Sitemap จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ควรตรวจสอบว่า Sitemap มีการอัปเดตล่าสุดเสมอ
กรณีศึกษา: การเพิ่มยอดขายด้วยการทำ Technical SEO Audit
ความท้าทายที่พบ
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแห่งหนึ่งพบว่าการจัดอันดับในผลการค้นหาลดลงและยอดขายตกต่ำอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าเว็บ ทีมงานจึงได้ทำ Technical SEO Audit และพบปัญหาหลายจุดที่ส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ เช่น:
-
หน้าเว็บที่สำคัญบางหน้าถูก Robots.txt บล็อกไว้
-
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บช้าเกินไป
-
URL ของหน้าเว็บหลายหน้ามีการตั้งค่าไม่เหมาะสม ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจผิด
การแก้ไขปัญหาและผลลัพธ์
หลังจากทีมงานได้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ เว็บไซต์สามารถกลับมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่า:
-
อัตราการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น
-
อัตราการออกจากหน้าเว็บลดลง
-
ยอดขายที่มาจากการค้นหาบนเครื่องมือค้นหาเพิ่มขึ้น
ข้อควรระวังในการทำ Technical SEO Audit
-
อย่าบล็อกหน้าที่สำคัญใน Robots.txt: ควรตรวจสอบว่าไม่มีการบล็อกหน้าที่จำเป็นต่อ SEO ใน Robots.txt
-
ไม่ทำการเปลี่ยนแปลง URL บ่อยเกินไป: การเปลี่ยนแปลง URL บ่อยครั้งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านการทำดัชนีและการจัดอันดับในผลการค้นหา
-
ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงผลกระทบต่อประสิทธิภาพ SEO: หลังจากแก้ไขปัญหาแล้วควรตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อผลลัพธ์การค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์
ข้อสรุป
การทำ Technical SEO Audit เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหาและเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้ การตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อหาและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรทำเป็นระยะ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และส่งผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจ