09Jun, 2025
Language blog :
Thai
Share blog : 
09 June, 2025
Thai

การแปลเนื้อหาอย่างมืออาชีพ: คน vs เครื่องมือแปล

By

2 mins read
การแปลเนื้อหาอย่างมืออาชีพ: คน vs เครื่องมือแปล

การพัฒนาเว็บไซต์หลายภาษา (Multilingual Website) ต้องอาศัย “เนื้อหาที่แปลได้คุณภาพ” ไม่ใช่แค่คำแปลตรงตัว แต่ต้องสื่อสารเข้าใจง่าย ตรงประเด็น และสอดคล้องกับวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย

คำถามคือ:
ควรใช้เครื่องมือแปลอัตโนมัติ (AI Translation) หรือเลือกใช้บริการนักแปลมืออาชีพ?
คำตอบไม่ใช่ “อันไหนดีกว่า” อย่างตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ งบประมาณ และความซับซ้อนของเนื้อหา

บทความนี้จะเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละวิธี พร้อมกรณีศึกษาจากองค์กรจริงที่ใช้ทั้ง AI และนักแปลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

 

รูปแบบการแปลเว็บไซต์ในปัจจุบัน

1. Google Translate และ AI Translation

เครื่องมือแปลอัตโนมัติที่ใช้ AI เช่น Google Translate, DeepL, Microsoft Translator กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถแปลข้อความจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดี:

  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

  • รองรับหลายภาษา

  • เหมาะกับเนื้อหาทั่วไป เช่น บทความข่าว, คำอธิบายสินค้า

  • เหมาะกับการแปลแบบ Real-Time หรือเมื่อเนื้อหามีการเปลี่ยนบ่อย

ข้อเสีย:

  • ขาดความแม่นยำในบริบทเฉพาะ เช่น ศัพท์เฉพาะอุตสาหกรรม

  • สำนวนยัง “ไม่เป็นธรรมชาติ” ในหลายภาษา

  • อาจเกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาที่ต้องการความละเอียด เช่น เงื่อนไขสัญญา หรือบทแนะนำอย่างเป็นทางการ

  • ไม่สามารถแปลให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น (Localization)

 

2. นักแปลมืออาชีพ (Professional Human Translators)

การใช้ผู้แปลที่มีความเข้าใจทั้งภาษาและบริบท ทำให้เนื้อหามีคุณภาพสูง เหมาะกับเนื้อหาที่มีความสำคัญต่อภาพลักษณ์องค์กรหรือการสื่อสารที่มีความเสี่ยง

ข้อดี:

  • ได้เนื้อหาที่อ่าน “เหมือนต้นฉบับ” มากกว่า

  • เข้าใจบริบท วัฒนธรรม และสามารถปรับโทนเสียงให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

  • ลดความเสี่ยงเรื่องการเข้าใจผิดในเนื้อหา

  • นักแปลสามารถช่วยแนะนำศัพท์หรือโครงสร้างข้อความที่ดีกว่าต้นฉบับได้

ข้อเสีย:

  • ใช้เวลาและงบประมาณสูงกว่า

  • อาจมีความล่าช้าหากเนื้อหาจำนวนมากหรือต้องแปลหลายภาษา

  • ต้องประสานงานมากกว่าการใช้ AI

 

วิธีผสมผสาน: ใช้ AI แปลเบื้องต้น แล้วให้มนุษย์รีวิว

วิธีนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายองค์กร โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ หรือเว็บไซต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบ่อย

แนวทางคือ:

  1. ใช้ AI หรือระบบแปลอัตโนมัติแปลเนื้อหาทั้งหมดเบื้องต้น

  2. ส่งให้ “นักแปล” หรือ “ผู้รีวิว” ตรวจสอบ ปรับแก้ให้เหมาะสม

  3. ทำการทดสอบกับผู้ใช้งานเป้าหมาย เพื่อปรับปรุงภาษาก่อนเผยแพร่จริง

ผลลัพธ์คือ ได้เนื้อหาที่เร็วขึ้นและยังคงคุณภาพ

 

กรณีศึกษา: องค์กรระดับภูมิภาคที่ใช้ Hybrid Translation ลดเวลาได้กว่า 50%

องค์กรข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเว็บไซต์ที่ต้องแปลเนื้อหาเป็น 4 ภาษา ได้แก่ ไทย อังกฤษ เวียดนาม และจีน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์ และบทความต่าง ๆ แก่ลูกค้าในแต่ละภูมิภาค

ปัญหา:

  • ก่อนหน้านี้ใช้แต่นักแปลในการแปลทุกหน้า ใช้เวลามาก

  • ต้องแปลเนื้อหาใหม่ทุกครั้งที่เว็บไซต์มีการอัปเดต

  • ทีมการตลาดไม่สามารถรอการแปลเสร็จทันเวลาทุกครั้ง

แนวทางที่ดำเนินการ:

  • เริ่มใช้ AI (Google Cloud Translation API) แปลเนื้อหาในระบบ CMS ทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

  • ตั้งระบบให้ทีมนักแปลเข้ามารีวิวเนื้อหาภายหลังแบบเป็น batch

  • เนื้อหาสำคัญ เช่น หน้าหลัก หน้าเกี่ยวกับองค์กร และหน้าแสดงบริการ ใช้มนุษย์แปล 100%

  • หน้าอื่น เช่น บทความทั่วไป หรือข่าวบริษัท ใช้วิธีผสม AI + รีวิว

ผลลัพธ์:

  • เวลารวมในการแปลเนื้อหาทั้งเว็บลดลงกว่า 50%

  • คุณภาพภาษาโดยรวมยังคงได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่ทีมคัดกรอง

  • ทีมการตลาดสามารถเผยแพร่เนื้อหาข้ามประเทศพร้อมกันได้

  • ลดค่าใช้จ่ายในการแปลโดยรวมกว่า 35% ต่อไตรมาส

 

ข้อแนะนำในการเลือกวิธีแปลสำหรับเว็บไซต์

  • หากเป็น เว็บไซต์ขนาดเล็กหรือเนื้อหาไม่เปลี่ยนบ่อย: ใช้นักแปลมืออาชีพจะได้คุณภาพสูงที่สุด

  • หากเป็น เว็บไซต์ที่เน้นข้อมูลอัปเดตเร็ว (เช่น ข่าว, บทความ): ใช้ AI แล้วให้ทีมตรวจสอบ

  • หากเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ กฎหมาย, สัญญา, หรือข้อมูลทางการ: ควรใช้มนุษย์แปลโดยตรง

  • ใช้ Style Guide หรือ Termbase เพื่อให้การแปลมีความสม่ำเสมอ

  • อย่าลืม ทดสอบกับผู้ใช้งานกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเผยแพร่

สรุป

การแปลเว็บไซต์หลายภาษาไม่ใช่แค่เรื่อง “ภาษาถูกต้องหรือไม่” แต่คือการสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความรู้สึกว่า “เว็บไซต์นี้ออกแบบมาเพื่อฉัน”

เครื่องมือแปล AI ช่วยให้เร็วและประหยัดงบ
แต่นักแปลช่วยให้เนื้อหานั้น “สื่อสารได้จริง”

ทางเลือกที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การเลือกเพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่คือการผสมผสานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม และงบประมาณที่คุ้มค่า

 

Written by
Fayelyn Nantasuda Kuntieng
Fayelyn Nantasuda Kuntieng

Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

- More than 120,000 people/day visit to read our blogs

Other articles for you

12
June, 2025
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
12 June, 2025
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง

By

3 mins read
Thai
12
June, 2025
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
12 June, 2025
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital

By

4 mins read
English
12
June, 2025
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
12 June, 2025
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need

By

3 mins read
Thai

Let’s build digital products that are
simply awesome !

We will get back to you within 24 hours!Go to contact us
Please tell us your ideas.
- Senna Labsmake it happy
Contact ball
Contact us bg 2
Contact us bg 4
Contact us bg 1
Ball leftBall rightBall leftBall right
Sennalabs gray logo28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599hello@sennalabs.com© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved.