การพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce บน WordPress ด้วยปลั๊กอิน WooCommerce

2 mins read

Published

6 November, 2024

Language

Thai

Written by

Share

การพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce บน WordPress ด้วยปลั๊กอิน WooCommerce

การเปิดร้านค้าออนไลน์ในยุคดิจิทัลกลายเป็นเรื่องที่ธุรกิจแทบทุกประเภทให้ความสนใจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ต้องการขยายตลาดออนไลน์อย่างง่ายและรวดเร็ว WordPress และ WooCommerce เป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ WooCommerce ช่วยให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณกลายเป็นร้านค้าที่สมบูรณ์แบบด้วยความสามารถในการจัดการสินค้า รับคำสั่งซื้อ และระบบการชำระเงินที่หลากหลาย พร้อมทั้งมีปลั๊กอินเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการตลาดและการขาย

ในบทความนี้ เราจะสำรวจขั้นตอนและเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce บน WordPress ด้วย WooCommerce พร้อมแนะนำปลั๊กอินเสริมที่จะช่วยเพิ่มยอดขายและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

ทำความรู้จักกับ WooCommerce

WooCommerce เป็นปลั๊กอินที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ WordPress ให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ที่มีฟังก์ชันการทำงานครบถ้วน WooCommerce ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สามารถจัดการสินค้าต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาสินค้า การจัดการสต็อกสินค้า การกำหนดค่าการจัดส่ง หรือการรับชำระเงิน WooCommerce ยังมีระบบที่ยืดหยุ่นรองรับการเพิ่มปลั๊กอินเสริมเพื่อขยายฟังก์ชันต่าง ๆ ตามที่ต้องการ เช่น การทำโปรโมชั่น การจัดการลูกค้า หรือการส่งเสริมการตลาด

 

ขั้นตอนการตั้งค่า WooCommerce บน WordPress

การตั้งค่า WooCommerce บน WordPress สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรม เรามาดูขั้นตอนการตั้งค่า WooCommerce ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณพร้อมให้บริการได้อย่างรวดเร็ว

1. การติดตั้ง WooCommerce

  1. เข้าไปที่ Plugins > Add New ในแผงควบคุม WordPress

  2. ค้นหา "WooCommerce" และกด Install Now

  3. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว กด Activate เพื่อเปิดการใช้งาน WooCommerce

หลังจากนั้น WooCommerce จะแนะนำขั้นตอนการตั้งค่าเบื้องต้น ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าสกุลเงิน ภาษี การจัดส่งสินค้า และช่องทางการชำระเงินต่าง ๆ

2. การเพิ่มสินค้า

การเพิ่มสินค้าใน WooCommerce ทำได้ง่ายและสามารถปรับแต่งรายละเอียดได้หลากหลาย เพียงแค่ไปที่ Products > Add New จากนั้นกรอกชื่อสินค้า รายละเอียด ราคา และเลือกหมวดหมู่สินค้า รวมถึงอัปโหลดรูปภาพประกอบ การจัดการสินค้าของ WooCommerce รองรับสินค้าที่มีคุณลักษณะหลากหลาย เช่น สี ขนาด หรือรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าได้ตรงตามความต้องการ

3. การตั้งค่าการชำระเงิน

WooCommerce รองรับการชำระเงินหลากหลายช่องทาง เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การรับชำระผ่านบัตรเครดิต หรือการเชื่อมต่อกับ PayPal นักพัฒนาสามารถตั้งค่าช่องทางการชำระเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจและลูกค้าได้ง่าย โดยไปที่ WooCommerce > Settings > Payments จากนั้นเลือกช่องทางที่ต้องการเปิดใช้และตั้งค่าให้สอดคล้องกับความต้องการของร้านค้า

4. การตั้งค่าการจัดส่งสินค้า

WooCommerce ช่วยให้ร้านค้าสามารถกำหนดค่าจัดส่งสินค้าได้หลายวิธี เช่น การจัดส่งแบบธรรมดา การจัดส่งด่วน หรือการจัดส่งแบบมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ร้านค้าสามารถตั้งค่าการจัดส่งตามน้ำหนัก ขนาด หรือปลายทางที่ลูกค้าเลือกได้อย่างยืดหยุ่น

 

ปลั๊กอินเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้า WooCommerce

นอกเหนือจากฟังก์ชันหลักแล้ว WooCommerce ยังมีปลั๊กอินเสริมที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในด้านการตลาด การจัดการลูกค้า และการขาย นี่คือตัวอย่างปลั๊กอินที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาร้านค้าออนไลน์บน WooCommerce:

1. WooCommerce PDF Invoices & Packing Slips

ปลั๊กอินนี้ช่วยสร้างใบกำกับสินค้าและใบส่งของในรูปแบบ PDF อัตโนมัติ ทำให้ร้านค้าสามารถส่งเอกสารให้กับลูกค้าได้สะดวก อีกทั้งยังช่วยในการจัดเก็บข้อมูลและตรวจสอบคำสั่งซื้อได้ง่ายขึ้น

2. WooCommerce Subscriptions

หากร้านค้าต้องการให้บริการในรูปแบบสมาชิกหรือการสมัครสมาชิก เช่น การขายสินค้าแบบกล่องรายเดือนหรือการให้บริการที่ต้องชำระเงินรายเดือน WooCommerce Subscriptions ช่วยให้ร้านค้าจัดการการสมัครสมาชิกได้ง่าย สามารถกำหนดรอบการชำระเงิน แจ้งเตือนการชำระ และจัดการสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. YITH WooCommerce Wishlist

ปลั๊กอิน YITH WooCommerce Wishlist ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ "Wishlist" ให้กับร้านค้าออนไลน์ ทำให้ลูกค้าสามารถบันทึกสินค้าที่สนใจไว้ในรายการ และสามารถแชร์รายการกับเพื่อน ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้ามากขึ้น

4. WooCommerce Google Analytics Integration

การติดตามข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของร้านค้า WooCommerce Google Analytics Integration ช่วยให้ร้านค้าสามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics เพื่อติดตามยอดขาย พฤติกรรมผู้ใช้ และช่องทางการขายต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าที่ช่วยให้ร้านค้าตัดสินใจในการทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ

5. WooCommerce Mailchimp Integration

Mailchimp เป็นแพลตฟอร์มการตลาดที่มีเครื่องมือสำหรับการจัดการอีเมลและแคมเปญการตลาดต่าง ๆ การเชื่อมต่อ Mailchimp กับ WooCommerce ช่วยให้ร้านค้าสามารถส่งอีเมลโปรโมชั่น แจ้งเตือนลูกค้าเรื่องการลดราคา และติดตามความเคลื่อนไหวของลูกค้า ซึ่งช่วยเสริมการตลาดและเพิ่มโอกาสในการขายได้ดี

 

เคล็ดลับการใช้ WooCommerce ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การใช้ WooCommerce อย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเบื้องต้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ และเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า:

1. ใช้ธีมที่เหมาะสมและรองรับ WooCommerce

การเลือกธีมที่เหมาะสมและรองรับ WooCommerce จะช่วยให้การแสดงผลของร้านค้าดูสวยงามและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ การใช้ธีมที่มีการออกแบบแบบ Responsive ช่วยให้เว็บไซต์ดูดีทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ ซึ่งส่งผลดีต่อประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า

2. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บมีผลต่อประสบการณ์ของลูกค้าโดยตรง ควรใช้ปลั๊กอินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ เช่น ปลั๊กอินที่บีบอัดภาพหรือแคชไฟล์ นอกจากนี้ ควรเลือกใช้โฮสติ้งที่มีความเร็วสูงเพื่อรองรับการทำงานของ WooCommerce ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการขาย

การวิเคราะห์ข้อมูลการขายช่วยให้ร้านค้าทราบว่าผลิตภัณฑ์ใดที่ได้รับความนิยม แหล่งที่มาของการเข้าชม และพฤติกรรมการสั่งซื้อของลูกค้า โดยสามารถใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics หรือ WooCommerce Analytics เพื่อติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลได้

4. ใช้โปรโมชันและคูปอง

WooCommerce มีระบบคูปองที่ช่วยให้ร้านค้าสามารถสร้างโปรโมชันต่าง ๆ เช่น การลดราคา การให้คูปองส่วนลด หรือการให้ของขวัญพิเศษ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการซื้อและกระตุ้นยอดขายได้ดี

5. การใช้ SEO และการตลาดออนไลน์

การทำ SEO (Search Engine Optimization) และการตลาดออนไลน์ เช่น การทำโฆษณาบน Google หรือ Facebook จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อร้านค้าออนไลน์สามารถแข่งขันในตลาดที่กว้างขึ้นได้ การใช้คำหลักที่เหมาะสมในรายละเอียดสินค้าและการใช้ปลั๊กอิน SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาได้ง่ายขึ้น

 

สรุป

การพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce บน WordPress ด้วย WooCommerce เป็นทางเลือกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจออนไลน์ WooCommerce ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร้านค้าจัดการสินค้าและรับคำสั่งซื้อได้ง่าย แต่ยังมีปลั๊กอินเสริมที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีและเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

ด้วยการใช้ปลั๊กอินเสริม เช่น WooCommerce Subscriptions, YITH WooCommerce Wishlist และ WooCommerce Google Analytics Integration ทำให้ร้านค้าสามารถปรับปรุงฟังก์ชันและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับลูกค้า การเพิ่มยอดขายผ่านการใช้ WooCommerce นั้นเป็นไปได้จริง ด้วยการวางแผนและการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ร้านค้าสามารถสร้างความสำเร็จในตลาดออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน

 

Written by
Aon Boriwat Jirabanditsakul
Aon Boriwat Jirabanditsakul

Share

Keep me posted
to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

More than 120,000 people/day  visit to read our blogs

Related articles

Explore all

Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง
17 Sep, 2025

by

How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital
17 Sep, 2025

by

การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need
17 Sep, 2025

by

Contact Senna Labs at :

hello@sennalabs.com28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599
© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved. | Privacy policy