เทคนิคการลดโค้ดที่ไม่จำเป็น (Code Optimization) เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์

Business
3 mins read
3 mins read

Published

11 November, 2024

Language

Thai

Written by

Share

เทคนิคการลดโค้ดที่ไม่จำเป็น (Code Optimization) เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์

การวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ การทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้และการนำข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวิเคราะห์มาปรับปรุง UX เนื้อหา และโครงสร้างเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ตรงจุด บทความนี้จะแนะนำวิธีการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่สำคัญเช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้

 

ความสำคัญของการใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์

การวิเคราะห์เว็บไซต์ช่วยให้เข้าใจการทำงานของเว็บไซต์และพฤติกรรมของผู้ใช้ รวมถึงการระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและโอกาสในการปรับปรุง เมื่อมีข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์เชิงบวกต่อธุรกิจด้วย

ข้อดีของการใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์

  1. เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้: การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น หน้าเว็บที่มีการเข้าชมสูงและการทำงานที่ดี ช่วยให้เราทราบถึงสิ่งที่ผู้ใช้สนใจและตอบโจทย์ความต้องการได้ดีขึ้น

  2. ปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์: การรู้ถึงข้อผิดพลาดหรือส่วนที่ไม่ค่อยมีการใช้งานช่วยให้เราสามารถปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้น

  3. เพิ่มประสิทธิภาพการตลาด: ข้อมูลจากการวิเคราะห์ช่วยให้สามารถวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

  4. เพิ่มอัตราการคอนเวอร์ชัน: การวิเคราะห์เชิงลึกช่วยให้เข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไร และทำให้เว็บไซต์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ตรงจุด ส่งผลให้อัตราการคอนเวอร์ชันเพิ่มขึ้น

เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่สำคัญ

เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์เว็บไซต์มีมากมาย แต่เครื่องมือหลักที่นิยมใช้งานและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงเว็บไซต์คือ Google Analytics และ Google Search Console

1. Google Analytics

Google Analytics เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้เข้าชม เช่น พฤติกรรมของผู้ใช้ หน้าเว็บที่เข้าชมบ่อย แหล่งที่มาของการเข้าชม และอื่น ๆ โดยสามารถนำข้อมูลจาก Google Analytics มาปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลสำคัญจาก Google Analytics ที่ช่วยปรับปรุงเว็บไซต์

  • ข้อมูลประชากรและแหล่งที่มาของการเข้าชม: ดูว่าผู้ใช้มาจากแหล่งไหนบ้าง เช่น ผ่านการค้นหา การคลิกจากเว็บไซต์อื่น ๆ หรือจากโซเชียลมีเดีย ข้อมูลนี้ช่วยให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายและการตลาดได้อย่างชัดเจน

  • พฤติกรรมการใช้งานบนเว็บไซต์: ดูว่าผู้ใช้ใช้เวลาอยู่ในหน้าใดบ้าง หน้าใดที่มีการออกจากหน้า (Bounce Rate) สูง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยระบุหน้าเว็บที่อาจต้องปรับปรุง เช่น การจัดวางเนื้อหาหรือการเพิ่มข้อมูลที่เป็นประโยชน์

  • ช่องทางการเข้าถึง (Traffic Channels): วิเคราะห์ว่าผู้เข้าชมมาจากช่องทางใดบ้าง เช่น การค้นหาผ่าน Google, การเข้าจากโซเชียลมีเดีย หรือการคลิกเข้ามาโดยตรง ข้อมูลนี้ช่วยให้สามารถปรับแผนการตลาดและการโปรโมตได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

  • Conversion Tracking: ติดตามการกระทำที่สำคัญบนเว็บไซต์ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครรับข้อมูล หรือการกรอกแบบฟอร์ม การติดตาม Conversion ช่วยให้สามารถวัดประสิทธิภาพของการตลาดและการปรับปรุงเว็บไซต์ได้ชัดเจนขึ้น

วิธีการใช้ Google Analytics เพื่อปรับปรุง UX และเนื้อหา

  1. วิเคราะห์เส้นทางการใช้งาน (User Flow): ใช้ข้อมูลจาก User Flow เพื่อดูว่าเส้นทางที่ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์เป็นอย่างไร หน้าใดที่ผู้ใช้เข้าชมต่อหลังจากหน้าแรก การรู้เส้นทางการใช้งานจะช่วยให้เราจัดลำดับเนื้อหาและการนำทางให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

  2. ดูข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้: ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้งานช่วยให้เราทราบว่าผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์จากมือถือหรือเดสก์ท็อป และสามารถปรับปรุง UX ให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่นิยมใช้งานมากที่สุด

  3. ติดตามเหตุการณ์สำคัญ (Event Tracking): การติดตามเหตุการณ์ช่วยให้รู้ว่าผู้ใช้มีการโต้ตอบกับเว็บไซต์อย่างไร เช่น การคลิกปุ่ม การดูวิดีโอ หรือการเลื่อนดูหน้า Event Tracking ช่วยให้สามารถปรับปรุงการออกแบบ UX และวางปุ่มหรือฟังก์ชันสำคัญให้ดียิ่งขึ้น

2. Google Search Console

Google Search Console เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงผลของเว็บไซต์บนผลการค้นหา Google ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบว่าเว็บไซต์แสดงผลในการค้นหาของผู้ใช้ได้อย่างไร และช่วยให้สามารถปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

ข้อมูลสำคัญจาก Google Search Console

  • ข้อมูลคำค้นหา (Search Queries): ดูว่าผู้ใช้ค้นหาคำไหนแล้วเจอเว็บไซต์ ข้อมูลนี้ช่วยให้สามารถพัฒนาเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น

  • การแสดงผล (Impressions) และอัตราการคลิก (CTR): ดูว่ามีการแสดงผลและอัตราการคลิก (CTR) เป็นอย่างไร การปรับปรุง CTR ทำได้โดยการปรับเนื้อหาของ Title และ Meta Description ให้ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น

  • การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของการ Index: Google Search Console ช่วยให้เห็นว่ามีปัญหากับการ Index หน้าใดบ้าง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ช่วยให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดียิ่งขึ้นบนผลการค้นหา

  • การตรวจสอบ Backlink: การดูจำนวนและแหล่งที่มาของ Backlink ช่วยให้เราทราบว่าเว็บไซต์มีการอ้างอิงจากที่ใดบ้าง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ใน Google

วิธีการใช้ Google Search Console เพื่อปรับปรุง SEO และโครงสร้างเว็บไซต์

  1. ปรับปรุงคำค้นหา (Keyword Optimization): ดูคำค้นหาที่ผู้ใช้ใช้และปรับเนื้อหาให้ตรงกับคำค้นหายอดนิยม หรือเพิ่มคำค้นหาที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในการค้นหา

  2. ปรับปรุง Title และ Meta Description: การปรับให้ Title และ Meta Description ให้ดึงดูดความสนใจผู้ใช้มากขึ้นจะช่วยเพิ่ม CTR และเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์

  3. แก้ไขปัญหาการ Index: ตรวจสอบว่าหน้าใดที่ Google ไม่สามารถ Index ได้ และทำการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ทุกหน้าสามารถแสดงผลได้ตามที่ควร

  4. การติดตาม Backlink: ดูว่าเว็บไซต์ได้รับ Backlink จากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่ หากไม่มีหรือมีน้อยอาจพิจารณาวางแผนการตลาดเพื่อเพิ่ม Backlink ที่มีคุณภาพ

การวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

การทำงานกับเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เว็บไซต์ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องมือวิเคราะห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์และประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ใช้

  • การวิเคราะห์รายงานประจำเดือน: รวบรวมข้อมูลจาก Google Analytics และ Google Search Console เป็นรายเดือนเพื่อติดตามพฤติกรรมและแนวโน้มการใช้งานของผู้ใช้

  • ปรับปรุง UX จากข้อมูลการใช้งานจริง: ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์เพื่อปรับ UX เช่น ปรับปุ่มหรือลิงก์ให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น

  • การทดสอบ A/B Testing: ลองใช้ A/B Testing เพื่อทดสอบว่าการปรับเปลี่ยนบางอย่าง เช่น การจัดวางปุ่มหรือเนื้อหามีผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอัตราการคอนเวอร์ชันอย่างไร

  • การปรับปรุง SEO อย่างต่อเนื่อง: ติดตามคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและปรับปรุงเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลบนการค้นหา

ข้อสรุป

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics และ Google Search Console เป็นวิธีที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ช่วยให้สามารถปรับ UX เนื้อหา และโครงสร้างเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ตรงจุด การวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเข้าชมเว็บไซต์ซ้ำ ซึ่งส่งผลบวกต่อธุรกิจและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ใช้และแบรนด์

 

Written by
Pooh Phuvit Jaruratkit
Pooh Phuvit Jaruratkit

Share

Keep me posted
to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

More than 120,000 people/day  visit to read our blogs

Related articles

Explore all

Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง
13 Nov, 2025

by

How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital
13 Nov, 2025

by

การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need
13 Nov, 2025

by

Contact Senna Labs at :

hello@sennalabs.com28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599
© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved. | Privacy policy