เปรียบเทียบ CDN เจ้าดัง: Cloudflare vs Fastly vs CloudFront

การเลือก CDN (Content Delivery Network) ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่อง “ความเร็ว” อย่างเดียว
แต่รวมถึงความง่ายในการใช้งาน ความคุ้มค่าในเชิงต้นทุน และความสามารถด้านความปลอดภัย
ในบทความนี้ เราจะพาไปเปรียบเทียบ 3 ผู้ให้บริการ CDN ชั้นนำของโลก ได้แก่ Cloudflare, Fastly, และ Amazon CloudFront
เพื่อช่วยคุณเลือกโซลูชันที่เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณมากที่สุด
1. Cloudflare
จุดเด่น: ใช้งานง่าย ครอบคลุมครบ และมีแผนฟรีที่ใช้งานได้จริง
-
ความเร็ว: Edge Server ทั่วโลกกว่า 275 จุด → ดีมากในเอเชีย
-
ราคา: มีแผนฟรี พร้อมบริการพื้นฐานเพียงพอสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป
แผน Pro เริ่มต้นที่ $20/เดือน -
การตั้งค่า: ใช้งานง่ายสุดในกลุ่มนี้ แค่เปลี่ยน DNS ก็เริ่มได้ทันที
-
ความปลอดภัย: มี WAF, DDoS Protection, SSL ฟรีในตัว
-
เหมาะกับ: เว็บข่าว, E-Commerce, บล็อก, SaaS, เว็บองค์กร
2. Fastly
จุดเด่น: ความเร็วสูงระดับโปร + Custom ได้ลึก
-
ความเร็ว: เร็วมาก โดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป ใช้ Edge Computing ช่วยลด Latency
-
ราคา: จ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go) แต่ราคาอาจสูงถ้าไม่ควบคุมดี
-
การตั้งค่า: ต้องใช้ VCL (Varnish Configuration Language) สำหรับการปรับแต่งขั้นสูง → เหมาะกับ Dev
-
ความปลอดภัย: มี WAF แต่ต้องซื้อเพิ่ม แผนสูงรองรับ TLS ระดับองค์กร
-
เหมาะกับ: เว็บไซต์ระดับ Enterprise, Streaming, FinTech, Web App ที่ซับซ้อน
3. Amazon CloudFront
จุดเด่น: เชื่อมต่อกับ AWS ได้เต็มระบบ
-
ความเร็ว: ดีมากในโซนอเมริกา-ยุโรป, ใช้ร่วมกับ S3, EC2, Lambda@Edge ได้อย่างลื่นไหล
-
ราคา: คิดตาม GB และจำนวน Request แยกตามภูมิภาค → คุ้มถ้าอยู่ใน ecosystem ของ AWS
-
การตั้งค่า: ซับซ้อนเล็กน้อย ต้องเข้าใจ AWS IAM, Policy และการเชื่อมบริการ
-
ความปลอดภัย: มี AWS Shield, AWS WAF, และ IAM integration
-
เหมาะกับ: ทีมที่ใช้ AWS อยู่แล้ว, เว็บแอปขนาดใหญ่, API Gateway
สรุปเปรียบเทียบCloudflare vs Fastly vs CloudFront
Cloudflare เหมาะสำหรับทุกขนาดธุรกิจ ด้วยความเร็วที่ดีมากในประเทศไทย ใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาทั้งสาม และมีระบบความปลอดภัยที่ครบถ้วน โดยเฉพาะ Web Application Firewall (WAF) ที่ให้ใช้ฟรี ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มมากนัก เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และองค์กร
Fastly โดดเด่นด้านความเร็วในระดับสากล แต่ในประเทศไทยยังตามหลัง Cloudflare เล็กน้อย การใช้งานค่อนข้างซับซ้อน เหมาะกับผู้ที่มีความชำนาญหรือทีมเทคนิคมืออาชีพ และต้องซื้อระบบความปลอดภัยเพิ่มหากต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง
CloudFront เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ใช้บริการของ AWS อยู่แล้ว แม้ความเร็วในไทยจะน้อยกว่าคู่แข่ง และการใช้งานอาจยุ่งยากหากไม่คุ้นเคยกับระบบ AWS ด้านความปลอดภัยต้องตั้งค่าเพิ่มเติม จึงเหมาะกับผู้ใช้ที่มีประสบการณ์และใช้งานร่วมกับบริการอื่นของ Amazon เป็นหลัก
กรณีศึกษา: เว็บไซต์ข่าวเลือกใช้ Cloudflare เพราะตั้งค่าง่าย และมี WAF ในตัว
เว็บไซต์ข่าวรายวันในไทยต้องการปรับปรุงความเร็วและความปลอดภัยของเว็บ โดยมีทีมพัฒนาเพียงไม่กี่คน
ปัญหาที่พบ:
-
หน้าเว็บโหลดช้าในช่วงมีข่าวด่วน → ทราฟฟิกพุ่ง
-
โดนบอทและสแปมเข้าหน้าแอดมิน
-
ไม่มี CDN เดิม และไม่ต้องการยุ่งกับระบบมาก
การเลือกใช้งาน:
-
เลือกใช้ Cloudflare แผนฟรี → เปลี่ยน DNS และเปิด CDN/Cache ทั่วเว็บ
-
เปิดใช้งาน WAF และ SSL ฟรี
-
ตั้งค่า Cache Rules ให้หน้าแสดงข่าวเก่าโหลดเร็วขึ้น
ผลลัพธ์:
-
หน้าโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 40% โดยเฉพาะช่วงที่มีข่าวปริมาณคนเข้าเยอะ
-
Bot traffic ลดลงกว่า 70% จาก Firewall Rules
-
ทีม IT บริหารง่าย เพราะไม่ต้องแตะเซิร์ฟเวอร์เดิม
สรุป
การเลือก CDN ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจาก ความเร็ว, ความง่ายในการตั้งค่า, ความปลอดภัย, และ ค่าใช้จ่าย
ไม่ใช่ CDN ทุกตัวเหมาะกับทุกเว็บไซต์ และบางรายอาจเหมาะกับทีม Developer มากกว่าทีม Content หรือ Marketing


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








