26Feb, 2025
Language blog :
Thai
Share blog : 
26 February, 2025
Thai

ขายของออนไลน์แพลตฟอร์มไหนดี? Shopify vs WooCommerce vs Lazada

By

2 mins read
ขายของออนไลน์แพลตฟอร์มไหนดี? Shopify vs WooCommerce vs Lazada

การขายของออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกิจสำหรับ SME ในปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นจากการขายผ่าน Facebook Page หรือ Instagram แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น พวกเขาต้องการแพลตฟอร์มที่ช่วย บริหารสต๊อก ออเดอร์ การชำระเงิน และขยายตลาดได้ง่ายขึ้น

แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ SME ใช้มากที่สุด ได้แก่ Shopify, WooCommerce, และ Lazada Seller Center ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

 

 

Shopify vs. WooCommerce vs. Lazada Seller Center: เลือกแพลตฟอร์มไหนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับขายสินค้าออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Shopify, WooCommerce หรือ Lazada Seller Center แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ธุรกิจควรเลือกใช้ระบบที่สอดคล้องกับเป้าหมายและรูปแบบการดำเนินงานของตนเอง

ประเภทของแพลตฟอร์ม

Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำเร็จรูปที่ออกแบบมาให้ผู้ขายสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านไอทีมากนัก ในขณะที่ WooCommerce เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ของตนเองได้ตามต้องการ ส่วน Lazada Seller Center เป็นมาร์เก็ตเพลสที่เปิดโอกาสให้ผู้ขายนำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของ Lazada ซึ่งมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และสามารถเริ่มขายสินค้าได้ทันที

ความง่ายในการใช้งาน

Shopify มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านไอที ส่วน WooCommerce ต้องการการตั้งค่าและดูแลเว็บไซต์ด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีความซับซ้อนมากขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับระบบ WordPress ด้าน Lazada Seller Center มีขั้นตอนการสมัครที่ง่ายและสามารถเริ่มขายสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์

ค่าใช้จ่าย

Shopify มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน และยังมีค่าธรรมเนียมการชำระเงินเพิ่มเติม WooCommerce แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้ฟรี แต่ผู้ใช้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อ โฮสติ้ง ธีม และปลั๊กอินเสริม เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ส่วน Lazada Seller Center สามารถใช้งานได้ฟรี แต่มีค่าธรรมเนียมการขายที่หักจากยอดขาย

การออกแบบเว็บไซต์

Shopify มาพร้อมกับธีมสำเร็จรูปที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย WooCommerce ให้ความยืดหยุ่นสูงสุด เนื่องจากสามารถเลือกธีมและปลั๊กอินเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ส่วน Lazada Seller Center มี ข้อจำกัดด้านการออกแบบ เนื่องจากร้านค้าจะต้องใช้ เทมเพลตมาตรฐานของ Lazada ทำให้ร้านค้ามีรูปแบบคล้ายกัน

การรองรับช่องทางชำระเงิน

Shopify รองรับการชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต, PayPal และช่องทางอื่นๆ โดยมีระบบ Payment Gateway ในตัว WooCommerce ต้องอาศัยการติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อเชื่อมต่อกับ Payment Gateway ต่างๆ เช่น Stripe หรือ Omise สำหรับ Lazada Seller Center ระบบการชำระเงินถูกจำกัดอยู่ที่ Lazada Wallet และการเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery - COD)

การบริหารสต๊อกสินค้า

Shopify มี ระบบจัดการสต๊อกอัตโนมัติ ในตัว WooCommerce ต้องใช้ ปลั๊กอินเสริม ในการเพิ่มฟังก์ชันการจัดการสต๊อกสินค้า ส่วน Lazada Seller Center ใช้ระบบสต๊อกที่อยู่ภายใต้การบริหารของ Lazada ทำให้ผู้ขายสามารถใช้ระบบของแพลตฟอร์มในการตรวจสอบและอัปเดตสินค้าคงคลังได้อย่างสะดวก

ความยืดหยุ่นในการขาย

ทั้ง Shopify และ WooCommerce ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถขายสินค้าผ่าน เว็บไซต์ของตนเอง ได้ ซึ่งช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและควบคุมการดำเนินงานได้เต็มที่ ในขณะที่ Lazada Seller Center ให้โอกาสขายสินค้าในมาร์เก็ตเพลสขนาดใหญ่ แต่ต้องแข่งขันกับผู้ขายรายอื่น และอยู่ภายใต้กฎระเบียบของแพลตฟอร์ม

SEO และเครื่องมือการตลาด

Shopify มีฟีเจอร์ที่รองรับ SEO และเครื่องมือโฆษณา ทำให้ร้านค้าสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ WooCommerce ให้ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง SEO และปลั๊กอินเสริม เช่น Yoast SEO ส่วน Lazada Seller Center ได้รับประโยชน์จาก การโปรโมตของ Lazada ซึ่งช่วยให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น แต่การทำการตลาดอาจถูกจำกัดในบางแง่มุม

โอกาสในการขยายธุรกิจ

Shopify รองรับ การทำ Dropshipping และการขายสินค้าข้ามประเทศ WooCommerce สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับโมเดลธุรกิจที่ต้องการ ส่วน Lazada Seller Center มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ แต่มีการแข่งขันสูง ทำให้ร้านค้าต้องมี กลยุทธ์ด้านราคาหรือโปรโมชั่น เพื่อให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง

 

กรณีศึกษา: ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่เปลี่ยนจาก Facebook Page ไปใช้ Shopify และเพิ่มยอดขายขึ้น 40%

ปัญหาก่อนเปลี่ยนแพลตฟอร์ม

ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น "TrendyStyle" เริ่มต้นจากการขายผ่าน Facebook Page และ Instagram โดยรับออเดอร์ผ่านแชท และให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร แต่เมื่อร้านมีออเดอร์มากขึ้น เจ้าของร้านพบปัญหาหลายอย่าง เช่น

  • ตอบแชทลูกค้าไม่ทัน ทำให้พลาดโอกาสขาย

  • การจัดการสต๊อกทำได้ยาก ไม่มีระบบเชื่อมต่อสินค้า ทำให้เกิดปัญหาของหมดโดยไม่รู้ตัว

  • การชำระเงินยุ่งยาก ลูกค้าต้องโอนเงินและส่งสลิป ทำให้เกิดความล่าช้า

  • การขยายตลาดทำได้ลำบาก เพราะขายผ่านโซเชียลมีเดียเท่านั้น

การเปลี่ยนไปใช้ Shopify

TrendyStyle ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์ด้วย Shopify เนื่องจากต้องการแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายและช่วยจัดการออเดอร์ได้ดี

สิ่งที่ร้านทำบน Shopify

  1. สร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ด้วยธีมสำเร็จรูปของ Shopify และตั้งค่าหมวดหมู่สินค้า

  2. ตั้งค่าระบบชำระเงินออนไลน์ ให้ลูกค้าจ่ายผ่านบัตรเครดิต, PayPal, และ QR Code

  3. ซิงค์ระบบสต๊อกสินค้า เพื่อลดปัญหาการขายสินค้าหมดโดยไม่รู้ตัว

  4. ใช้ฟีเจอร์ Abandoned Cart Recovery ส่งอีเมลเตือนลูกค้าที่กดสินค้าใส่ตะกร้าแต่ยังไม่ชำระเงิน

  5. โฆษณาผ่าน Facebook และ Google Ads เชื่อมต่อ Shopify กับเครื่องมือโฆษณาเพื่อทำ Remarketing

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ยอดขายเพิ่มขึ้น 40% ภายใน 3 เดือน เนื่องจากลูกค้าซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

  • ลดเวลาตอบแชทลง 60% เพราะลูกค้าสามารถกดสั่งซื้อและชำระเงินผ่านเว็บได้เอง

  • การจัดการสต๊อกแม่นยำขึ้น ลดปัญหาของหมดและปรับระบบเติมสินค้าได้ดีขึ้น

  • ขยายตลาดไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะ Shopify รองรับการขายข้ามประเทศ

 

แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับ SME ของคุณ?

  • Shopify เหมาะสำหรับ SME ที่ต้องการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบสำเร็จรูป พร้อมระบบชำระเงินและจัดการออเดอร์ที่ง่าย

  • WooCommerce เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ความยืดหยุ่น และสามารถดูแลเว็บไซต์ด้วยตัวเอง มีค่าใช้จ่ายต่ำ แต่ต้องตั้งค่าเอง

  • Lazada Seller Center เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ เข้าถึงลูกค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องสร้างเว็บไซต์เอง แต่ต้องแข่งขันสูงและมีค่าธรรมเนียม

การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ งบประมาณ และเป้าหมายการเติบโต

 

สรุป: Shopify, WooCommerce หรือ Lazada – แพลตฟอร์มไหนดีที่สุด?

  • ถ้าคุณต้องการ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใช้งานง่ายและพร้อมขายทันที → เลือก Shopify

  • ถ้าคุณต้องการ ควบคุมทุกอย่างได้เองและมีค่าใช้จ่ายต่ำ → เลือก WooCommerce

  • ถ้าคุณต้องการ ขายบนแพลตฟอร์มที่มีลูกค้าพร้อม ไม่ต้องสร้างเว็บเอง → เลือก Lazada Seller Center

ธุรกิจ SME ควรเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับ ความสามารถในการจัดการ งบประมาณ และแผนขยายธุรกิจ เพื่อให้สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

Written by
Ae Tharatip Maneewan
Ae Tharatip Maneewan

Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

- More than 120,000 people/day visit to read our blogs

Other articles for you

20
March, 2025
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
20 March, 2025
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง

By

3 mins read
Thai
20
March, 2025
How SennaLabs helped S&P Food transform their online e-commerce business
20 March, 2025
How SennaLabs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital

By

4 mins read
English
20
March, 2025
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
20 March, 2025
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need

By

3 mins read
Thai

Let’s build digital products that are
simply awesome !

We will get back to you within 24 hours!Go to contact us
Please tell us your ideas.
- Senna Labsmake it happy
Contact ball
Contact us bg 2
Contact us bg 4
Contact us bg 1
Ball leftBall rightBall leftBall right
Sennalabs gray logo28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599hello@sennalabs.com© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved.