10 เทรนด์ UX/UI Design ในปี 2025

UX/UI Design เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เทรนด์การออกแบบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามพฤติกรรมผู้ใช้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในปี 2025 เราจะได้เห็น แนวโน้ม UX/UI ใหม่ ๆ ที่ช่วยทำให้การออกแบบดิจิทัลเป็นมิตรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในบทความนี้ เราจะพาไปดู 10 เทรนด์ UX/UI Design ที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2025
1. AI-Driven UX/UI: การใช้ AI เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ของผู้ใช้
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning กำลังเปลี่ยนโฉม UX/UI โดยช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถ ปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานให้เข้ากับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
AI-Generated UI: ระบบ AI จะสามารถ ออกแบบและปรับเปลี่ยน UI แบบเรียลไทม์ ตามพฤติกรรมของผู้ใช้
-
Personalized UX: AI จะช่วย แนะนำคอนเทนต์ ฟีเจอร์ และดีไซน์ที่เหมาะสม กับแต่ละบุคคล
-
AI Chatbots & Voice Assistants: ผู้ใช้จะสามารถ โต้ตอบกับแอปหรือเว็บไซต์ผ่าน AI ที่เข้าใจภาษามนุษย์ได้ดีขึ้น
ตัวอย่าง:
Netflix และ Spotify ใช้ AI เพื่อ แนะนำคอนเทนต์ที่ตรงกับความชอบของผู้ใช้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลพฤติกรรมที่เก็บรวบรวม
2. Adaptive & Responsive UI: ดีไซน์ที่ปรับตัวตามอุปกรณ์และบริบทการใช้งาน
การออกแบบ UI ไม่ได้จำกัดแค่หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์อีกต่อไป 2025 จะเป็นยุคของ "Multi-Device UX" ที่ต้องออกแบบให้รองรับอุปกรณ์ทุกประเภท
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
UI ที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, สมาร์ทวอทช์, Smart TV และอุปกรณ์ IoT
-
Context-Aware Design: UI สามารถ เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ของผู้ใช้ เช่น ปรับสี UI ในที่แสงน้อย หรือขยายตัวอักษรสำหรับผู้สูงอายุ
-
Foldable & Wearable UI: การออกแบบ UX/UI ที่รองรับ สมาร์ทโฟนพับได้และอุปกรณ์สวมใส่
ตัวอย่าง:
Google ออกแบบ Material You ที่ UI สามารถ ปรับเปลี่ยนสีและโทนตามธีมที่ผู้ใช้เลือก
3. No-Code & Low-Code UI Design: ลดความซับซ้อนในการออกแบบ
เครื่องมือ No-Code และ Low-Code ทำให้ นักออกแบบ UX/UI และนักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดซับซ้อน แต่สามารถ สร้าง UI ได้เร็วขึ้นผ่านเครื่องมือสำเร็จรูป
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
AI-Assisted Design Tools: เครื่องมือออกแบบที่ใช้ AI สร้างและแนะนำองค์ประกอบ UX/UI
-
Drag-and-Drop UI Builders: แพลตฟอร์มสร้างแอปแบบ No-Code และ Low-Code จะได้รับความนิยมมากขึ้น
-
Collaborative Design: ทีมออกแบบสามารถ ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ผ่านแพลตฟอร์มออกแบบที่เป็น Cloud-based
ตัวอย่าง:
Figma และ Webflow กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยให้ นักออกแบบสามารถสร้าง UI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเขียนโค้ด
4. Voice & Gesture-Based UX: อินเทอร์เฟซไร้สัมผัส
การโต้ตอบแบบ ไร้สัมผัส (Touchless UI) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเน้นไปที่ เสียง (Voice UI) และท่าทาง (Gesture UI)
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
Voice User Interface (VUI): UI ที่ใช้ เสียงเป็นช่องทางหลักในการสั่งงาน
-
Gesture-Based Navigation: การควบคุม UI ผ่าน การเคลื่อนไหวมือและร่างกาย
-
Haptic Feedback & Motion Sensors: ใช้ การสั่นและเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน
ตัวอย่าง:
Google Assistant และ Alexa ใช้ Voice UI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ สั่งงานโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ
5. Dark Mode & Dynamic UI: การออกแบบที่ปรับเปลี่ยนได้ตามเวลาและสภาพแวดล้อม
Dark Mode ไม่ใช่แค่ เทรนด์ แต่กลายเป็นมาตรฐาน UX/UI ที่ช่วย ลดอาการล้าสายตาและประหยัดพลังงานแบตเตอรี่
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
Auto Dark Mode: ระบบสามารถ เปลี่ยน UI เป็นโหมดมืดอัตโนมัติ ตามเวลาหรือแสงรอบข้าง
-
Dynamic UI Elements: UI สามารถ ปรับเปลี่ยนสี ขนาด และองค์ประกอบตามบริบทการใช้งาน
ตัวอย่าง:
Apple และ Android ใช้ ระบบ Dark Mode อัตโนมัติ ตามช่วงเวลาของวัน
6. Micro-Interactions & Motion UI: เพิ่มการตอบสนองของ UI
Micro-Interactions คือ แอนิเมชันขนาดเล็กที่เพิ่มความรู้สึกโต้ตอบกับผู้ใช้ เช่น การเปลี่ยนสีปุ่มเมื่อกด หรือแอนิเมชันโหลดหน้าเว็บ
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
Subtle Animations: แอนิเมชันที่ ช่วยนำสายตาและสร้างอารมณ์ร่วม
-
Lottie & SVG Animations: ใช้ไฟล์แอนิเมชันแบบ SVG หรือ Lottie เพื่อให้การเคลื่อนไหวลื่นไหลขึ้น
-
State-Based Animations: UI สามารถ เปลี่ยนแปลงตามสถานะของผู้ใช้
ตัวอย่าง:
Facebook และ Instagram ใช้ Micro-Interactions เช่น Animation เมื่อกดไลก์หรือแชร์โพสต์
7.Ethical & Inclusive Design: การออกแบบเพื่อทุกคน
UX/UI ในปี 2025 จะต้องคำนึงถึง ความเป็นธรรม ความเป็นส่วนตัว และการเข้าถึงของทุกกลุ่มผู้ใช้
แนวโน้มที่น่าจับตามอง
-
Accessibility-First Design: ออกแบบให้รองรับ ผู้ใช้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกายและการมองเห็น
-
Data Privacy UX: UI ที่ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายขึ้น
-
Neurodivergent-Friendly UX: รองรับผู้ใช้ที่มี ออทิสติกหรือภาวะทางจิตเวชต่าง ๆ
ตัวอย่าง:
Microsoft และ Apple พัฒนา ฟีเจอร์ Accessibility เพื่อให้ UI รองรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม
สรุป:
AI และ Machine Learning จะช่วย ปรับแต่ง UX/UI ตามพฤติกรรมผู้ใช้
-
การออกแบบ UX/UI จะต้องรองรับ อุปกรณ์หลากหลายประเภท
-
No-Code & Low-Code ทำให้ การออกแบบ UI ง่ายขึ้น
-
Voice & Gesture-Based UX จะช่วย ลดการพึ่งพาสัมผัสหน้าจอ
-
การออกแบบที่ เป็นมิตรกับสายตาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
UX/UI ในปี 2025 จะเน้นไปที่การออกแบบที่ปรับตัวได้ ใช้ AI เป็นตัวช่วย และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้มากขึ้น


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








