UX/UI กับเว็บไซต์สายท่องเที่ยว: ทำให้การวางแผนเดินทางเป็นเรื่องง่าย

การจองทริปท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ที่ควรจะ ง่ายและราบรื่น สำหรับผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์จองแพ็กเกจท่องเที่ยวจำนวนมากยังมี UX/UI ที่ซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้ ค้นหาแพ็กเกจได้ยาก, เปรียบเทียบตัวเลือกไม่ได้ง่าย และกระบวนการจองมีหลายขั้นตอนที่ยุ่งยาก
เมื่อ UX/UI ออกแบบมาไม่ดี ผู้ใช้มักละทิ้งกระบวนการจองกลางคัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายและ Conversion Rate ของเว็บไซต์ท่องเที่ยว
บทความนี้จะอธิบาย แนวทางการออกแบบ UX/UI สำหรับเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาและจองแพ็กเกจได้ง่ายขึ้น พร้อมกรณีศึกษาของ เว็บไซต์ท่องเที่ยวที่สามารถเพิ่มอัตราการจองผ่านเว็บไซต์ขึ้น 50% หลังจากปรับ UX/UI
ปัญหาที่พบบ่อยในเว็บไซต์จองแพ็กเกจท่องเที่ยวที่มี UX/UI ไม่ดี
-
การค้นหาแพ็กเกจยุ่งยาก – ผู้ใช้ต้องเลื่อนหาข้อมูลเป็นเวลานาน และตัวกรอง (Filter) ใช้งานไม่สะดวก
-
ไม่มีระบบเปรียบเทียบแพ็กเกจ – ทำให้ผู้ใช้ต้องเปิดหลายแท็บเพื่อเปรียบเทียบราคาและสิ่งที่รวมในแพ็กเกจ
-
ขั้นตอนการจองซับซ้อนเกินไป – ต้องกรอกข้อมูลเยอะ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเบื่อและออกจากเว็บไซต์ก่อนทำการจอง
-
ไม่มีรีวิวจากลูกค้าเพื่อช่วยในการตัดสินใจ – ทำให้ผู้ใช้ไม่มั่นใจว่าควรเลือกแพ็กเกจไหน
-
เว็บไซต์โหลดช้าและไม่รองรับมือถือ – ทำให้การใช้งานบนอุปกรณ์พกพาไม่สะดวก
แนวทางการออกแบบ UX/UI ที่ช่วยให้ผู้ใช้วางแผนทริปได้ง่ายขึ้น
1. ปรับปรุงระบบค้นหาแพ็กเกจให้รวดเร็วและใช้งานง่าย
ปัญหา: ผู้ใช้ต้องใช้เวลานานในการหาทริปที่ต้องการ
แนวทางแก้ไข:
-
เพิ่ม ระบบค้นหาแบบ Real-time ที่ช่วยให้ผู้ใช้กรองแพ็กเกจตาม ปลายทาง, งบประมาณ, ระยะเวลาเดินทาง, และประเภทกิจกรรม
-
ใช้ AI หรือ Machine Learning ในการแนะนำแพ็กเกจที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้
-
ทำให้ Search Bar ชัดเจน และอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย
ผลลัพธ์ที่ได้:
-
เวลาที่ใช้ในการค้นหาแพ็กเกจลดลง 40%
-
อัตราการค้นหาและคลิกเลือกแพ็กเกจเพิ่มขึ้น 30%
2. เพิ่มฟีเจอร์เปรียบเทียบแพ็กเกจ (Package Comparison Tool)
ปัญหา: ผู้ใช้ต้องเปิดหลายแท็บเพื่อเปรียบเทียบแพ็กเกจ ทำให้เกิดความสับสน
แนวทางแก้ไข:
-
เพิ่ม ฟีเจอร์เปรียบเทียบแพ็กเกจ ที่แสดงรายละเอียด เช่น ราคา, โรงแรมที่พัก, กิจกรรม, และสิ่งที่รวมในแพ็กเกจ
-
ใช้ Visual Comparison Table ที่ช่วยให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลสำคัญแบบเรียงกัน
-
ให้ผู้ใช้สามารถ บันทึกแพ็กเกจที่สนใจและกลับมาเปรียบเทียบภายหลัง
ผลลัพธ์ที่ได้:
-
อัตราการเปรียบเทียบแพ็กเกจเพิ่มขึ้น 45%
-
อัตราการตัดสินใจจองเร็วขึ้น 35%
3. ปรับปรุงขั้นตอนการจองให้สั้นและง่ายขึ้น
ปัญหา: กระบวนการจองซับซ้อนเกินไป ต้องกรอกข้อมูลหลายช่อง ทำให้ผู้ใช้เลิกจองกลางคัน
แนวทางแก้ไข:
-
ใช้ One-Page Booking ที่แสดงข้อมูลที่ต้องกรอกทั้งหมดในหน้าเดียว
-
ใช้ Auto-fill ให้ผู้ใช้สามารถกรอกข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น
-
แสดง Progress Indicator ให้ผู้ใช้เห็นว่าต้องทำกี่ขั้นตอนก่อนจองสำเร็จ
-
เพิ่ม Guest Checkout ให้ผู้ใช้สามารถจองได้โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก
ผลลัพธ์ที่ได้:
-
เวลาที่ใช้ในการจองลดลงจาก 5 นาที เหลือ 2 นาที
-
อัตราการจองสำเร็จเพิ่มขึ้น 50%
4. เพิ่มรีวิวและรูปภาพจากลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ปัญหา: ผู้ใช้ไม่มั่นใจในแพ็กเกจท่องเที่ยว และลังเลในการจอง
แนวทางแก้ไข:
-
เพิ่ม รีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการจริง พร้อมรูปภาพและคะแนนรีวิว
-
ใช้ วิดีโอรีวิว หรือภาพ Before & After จากผู้เดินทางจริง
-
แสดง ตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพ จากหน่วยงานท่องเที่ยว
ผลลัพธ์ที่ได้:
-
ผู้ใช้มีแนวโน้มจองมากขึ้น เพิ่มขึ้น 40%
-
ลดอัตราการยกเลิกการจอง ลง 25%
5. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็วขึ้นและรองรับมือถือ
ปัญหา: เว็บไซต์โหลดช้าและการแสดงผลบนมือถือไม่ดี ทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการจอง
แนวทางแก้ไข:
-
ใช้ Lazy Loading และ บีบอัดรูปภาพ ให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
-
ใช้ Responsive Design ให้เว็บไซต์สามารถใช้งานได้ดีทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ
-
ปรับ UI ให้ปุ่ม CTA เช่น “จองตอนนี้” หรือ “สอบถามเพิ่มเติม” มีขนาดใหญ่ขึ้นและกดง่ายบนมือถือ
ผลลัพธ์ที่ได้:
-
เวลาการโหลดหน้าเว็บลดลง จาก 5 วินาที เหลือ 2 วินาที
-
จำนวนผู้ใช้ที่จองผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 50%
กรณีศึกษา: เว็บไซต์จองแพ็กเกจท่องเที่ยวที่ปรับ UX/UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น
ปัญหาที่พบก่อนการปรับปรุง UX/UI
เว็บไซต์จองแพ็กเกจท่องเที่ยวแห่งหนึ่งพบว่า มีผู้เข้าชมจำนวนมาก แต่จำนวนการจองต่ำ ปัญหาหลักที่พบ ได้แก่:
-
ผู้ใช้ไม่สามารถค้นหาแพ็กเกจได้สะดวก
-
ไม่มีฟีเจอร์เปรียบเทียบแพ็กเกจ ทำให้ผู้ใช้สับสน
-
กระบวนการจองใช้เวลานานและซับซ้อน
-
ไม่มีรีวิวจากลูกค้า ทำให้ผู้ใช้ลังเลในการจอง
การปรับปรุง UX/UI เพื่อเพิ่มอัตราการจอง
-
เพิ่มระบบค้นหาแพ็กเกจให้ใช้งานง่ายขึ้น
-
เพิ่มฟีเจอร์เปรียบเทียบแพ็กเกจ เพื่อให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
-
ลดขั้นตอนการจองให้สั้นลง และเพิ่ม Auto-fill
-
เพิ่มรีวิวและรูปภาพจากลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจ
-
ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น และรองรับการใช้งานบนมือถือ
ผลลัพธ์หลังการปรับปรุง UX/UI
-
อัตราการจองผ่านเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 50%
-
เวลาที่ใช้ในการจองลดลง 60%
-
Bounce Rate ลดลง 30%
-
อัตราการจองผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 50%
สรุป
UX/UI ที่ดีช่วยทำให้การวางแผนเดินทางเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดย:
-
ทำให้ระบบค้นหาสะดวกและใช้งานง่าย
-
เพิ่มฟีเจอร์เปรียบเทียบแพ็กเกจ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจเร็วขึ้น
-
ลดขั้นตอนการจองให้สั้นลง
-
เพิ่มรีวิวจากลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจ
-
ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและรองรับมือถือ


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








