สร้างกลยุทธ์การตลาดจาก FOMO เทคนิคที่ทำให้ Clubhouse ดังปังปุริเย่!
เชื่อว่านาทีนี้ไม่ว่าใครก็รู้จัก ‘Clubhouse’ แอปพลิเคชันที่สร้างห้องสนทนาโดยเปิดโอกาสให้ผู้พูดและผู้ฟังเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือสร้างความบันเทิง ภายใต้หัวข้อสนทนานั้นๆ ปัจจุบัน Clubhouse มียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสูงกว่า 6 ล้านครั้ง และติดชาร์ต Social Media Application อันดับ 1 ของ App Store (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2021) และแนวคิดทางจิตวิทยาเบื้องหลังปรากฏการณ์ความฮอตของแอปฯ Clubhouse ก็คือ Fear Of Missing Out หรือ ‘FOMO’ โดยเล่นกับความรู้สึกกลัวของผู้ใช้ ตั้งแต่กลัวที่จะตกเทรนด์หากไม่ได้รับเชิญเข้า Clubhouse จนต้องรีบหา referal เพื่อเข้าใช้งาน รวมไปถึงกลัวพลาดห้องสนทนาที่ตัวเองสนใจ จึงต้องติดตาม Speaker ที่ตัวเองชอบและออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ
(Image: Unsplash)
ไม่ใช่แค่ Clubhouse จะเอา FOMO มาใช้ ยังมีอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่นำแนวคิดทางจิตวิทยานี้มาประยุกต์กับกลยุทธ์การขายสินค้าของตนเอง โดยกระตุ้นความต้องการที่จะซื้อสินค้า และความรู้สึกเสียดายหากต้องพลาดโอกาสนั้น นักการตลาดสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดโดยยึดแนวคิด FOMO ได้ดังนี้
ใช้คำเพื่อเร่งการตัดสินใจ
การใช้คำนับเป็นสิ่งสำคัญในการทำ FOMO Marketing เพราะจะช่วยเร่งการตัดสินใจในการซื้อ หรือการกระทำใด ๆ ของลูกค้าไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยเฉพาะการกำหนดระยะเวลา ซึ่งจะทำให้ ตัวลูกค้าจะรับรู้อยู่ตลอดว่า ยิ่งตัดสินใจนานมากขึ้น เวลาก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ การใช้คำเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจไม่ใช่แค่เพียงการจำกัดช่วงเวลาในการซื้อ แต่สามารถเล่นกับจำนวนสินค้า หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้
ตัวอย่างการใช้คำ
• Last chance
• เหลือสินค้าเพียง 2 ชิ้น
• ชิ้นสุดท้าย
• มีจำนวนจำกัด
• ห้ามพลาด
• Last for 24 hours
• วันนี้เท่านั้น
(Image: Shopee)
นำเสนอสิทธิพิเศษในระยะเวลาจำกัด
ดีลพิเศษพร้อมระยะเวลาที่จำกัด สามารถเร่งการตัดสินใจในการซื้อได้มากกว่าการใช้คำเพียงอย่างเดียว เพราะจะสร้างความรู้สึกเสียดายมากกว่า ถ้าหากมาซื้อทีหลังก็จะพลาดโอกาสในการได้สิทธิพิเศษนั้นไปแล้ว
ตัวอย่างดีลพิเศษ
• Deal of the Day
• Flash Sale
• ลดเพิ่ม 15% เฉพาะวันนี้เท่านั้น
• ส่งฟรีวันนี้เท่านั้น
• ลดพิเศษ เฉพาะ 20 คนแรก
• ซื้อตอนนี้ แลกซื้อสินค้าพิเศษได้ในราคา XX บาท
• ซื้อวันนี้ แถมฟรีทันที
(Image: Blogspot )
อย่างไรก็ตาม ดีลพิเศษในช่วงจำกัดระยะเวลาไม่ควรเสนอต่อหลังจากช่วงเวลานั้น เพราะจะไปลดทอนความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของแบรนด์ เนื่องจากเงื่อนไขของดีลไม่ได้เป็นไปตามที่นำเสนอ
ใช้ Social Proof
(Image: Pngegg)
พฤติกรรมที่ควรทำตามโดยจูงใจว่าแบรนด์มีความน่าเชื่อถือและมีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก แบรนด์สามารถทำการตลาดโดยใช้ Social Proof ได้หลากหลายวิธี อาทิ
• แสดง Testimonials ในหน้าเว็บไซต์
• ให้ลูกค้ารีวิวและแชร์โพสต์
• นำคำพูดของคนดัง หรือ Influencer ที่มีต่อแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์มาแสดงในช่องทางประชาสัมพันธ์ของแบรนด์
• โปรโมตแบรนด์โดยนำเสนอข้อมูลทางวิชาการหรือตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจ
• แสดงให้เห็นคิวในการต่อแถวเพื่อซื้อสินค้า
ใช้ Competitive spirit ให้เป็นประโยชน์
นักการตลาดสามารถเพิ่มความเข้มข้นของ FOMO Marketing ได้ โดยดึง Competitive spirit หรือจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันของผู้บริโภคมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หากลูกค้ารู้ว่ามีคนอื่น ๆ อีกมากอยากได้สินค้าชิ้นนี้ ยิ่งทำให้มีแรงผลักดันในการต้องการครอบครองสินค้าชิ้นนี้มากยิ่งขึ้น มากกว่านั้น ลูกค้าจะมีความรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ซื้อสินค้าชิ้นนั้นมา จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่นำ Competitive spirit มาประยุกต์ใช้อย่างเห็นได้ชัด คือ Online Travel Agency (OTA) อย่างเช่น Booking.com Agoda เป็นต้น
(Image: Barilliance)
กล่าวโดยสรุป FOMO Marketing จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ถ้อยคำที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยเฉพาะการกระตุ้นความรู้สึกกลัวที่จะพลาด ที่จะตกเทรนด์ หากนักการตลาดนำ FOMO Marketing มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม และถูกกาลเทศะ จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ที่มา
-
-
FOMO Marketing: Everything You Need to Know About Fear of Missing Out by Coral Ouellette
-
FOMO: Using Fear Of Missing Out - A Clever Marketing To Drive More Sales by Raul Harman
- 10 Effective FOMO Marketing Techniques to Increase Online Results by Steve Hogan


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you
Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us










