การใช้โครงสร้างข้อมูล (Schema Markup) เพื่อเพิ่มอันดับในการค้นหา
ในยุคที่การค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์มีการแข่งขันสูง การทำให้เว็บไซต์ของเราปรากฏเด่นชัดในหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERP) ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งาน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้เว็บไซต์ของเราโดดเด่นกว่าเดิมก็คือ Schema Markup หรือโครงสร้างข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเช่น Google เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราได้ดียิ่งขึ้น และแสดงผลลัพธ์ที่มีประโยชน์และดึงดูดสายตาผู้ใช้ได้โดยตรง
Schema Markup คืออะไร?
Schema Markup เป็นรูปแบบหนึ่งของข้อมูลที่มีโครงสร้าง หรือที่เรียกว่า "Structured Data" ซึ่งใช้ในการบอกให้เครื่องมือค้นหาทราบถึงความหมายและบริบทของข้อมูลที่อยู่ในหน้าเว็บ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การรีวิว อีเวนต์ หรือข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ โดยโครงสร้างข้อมูลเหล่านี้ทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงข้อมูลเป็น Rich Snippets หรือข้อมูลพิเศษเพิ่มเติมที่ปรากฏใต้ลิงก์ของเว็บไซต์นั้น ๆ เช่น คะแนนรีวิว ราคา หรือสถานะของสินค้า สิ่งเหล่านี้ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และทำให้พวกเขาตัดสินใจคลิกเข้าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างของ Rich Snippets ที่ใช้ Schema Markup
การใช้ Schema Markup สามารถแสดงผลในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีประโยชน์บน SERP ได้ ดังนี้:
-
คะแนนรีวิว: แสดงจำนวนดาวและคะแนนรีวิวของสินค้า
-
ราคา: แสดงราคาของสินค้าหรือบริการ
-
ข้อมูลผลิตภัณฑ์: ข้อมูลเกี่ยวกับสเปคหรือคุณสมบัติสำคัญของผลิตภัณฑ์
-
อีเวนต์: วัน เวลา และสถานที่ของกิจกรรมหรืออีเวนต์ต่าง ๆ
-
สูตรอาหาร: ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาในการปรุง วัตถุดิบ และขั้นตอนการทำ
ประโยชน์ของการใช้ Schema Markup ต่อการจัดอันดับเว็บไซต์
Schema Markup ช่วยให้การแสดงผลของเว็บไซต์บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาดูน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยมีข้อดีหลายประการที่ส่งผลต่อ SEO และอันดับในการค้นหา:
-
เพิ่มอัตราการคลิก (CTR): เมื่อเว็บไซต์มี Rich Snippets เช่น คะแนนรีวิวหรือข้อมูลราคาปรากฏในผลการค้นหา จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นข้อมูลที่ต้องการได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปในหน้าเว็บ การแสดงข้อมูลที่ชัดเจนนี้มีผลในการเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้งานจะคลิกเข้าชมเว็บไซต์
-
เพิ่มการมองเห็น (Visibility): Schema Markup ช่วยให้เว็บไซต์มีการแสดงข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในส่วนที่มีผู้ใช้งานสนใจมากขึ้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การรีวิว หรือสูตรอาหาร ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าถึงที่สูงขึ้นได้
-
เพิ่มความเข้าใจของเครื่องมือค้นหา: เมื่อเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจข้อมูลในเว็บไซต์ได้ดีขึ้น จะทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงข้อมูลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ในระยะยาว
-
เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การมีข้อมูลที่แสดงผลชัดเจนในหน้าแรกของการค้นหา เช่น คะแนนรีวิวหรือการให้บริการต่าง ๆ ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นสำหรับผู้ใช้
วิธีการติดตั้ง Schema Markup บนเว็บไซต์
การเพิ่ม Schema Markup ให้เว็บไซต์ของคุณอาจฟังดูซับซ้อน แต่ในความเป็นจริง มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยให้การเพิ่มโค้ดนี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ตัวอย่างวิธีการติดตั้ง Schema Markup มีดังนี้:
-
ใช้ Google’s Structured Data Markup Helper: เครื่องมือนี้ช่วยให้คุณสามารถเลือกประเภทข้อมูลที่ต้องการและสร้างโค้ด Schema Markup ได้โดยง่าย เพียงแค่เลือกประเภทข้อมูล เช่น บทความหรือผลิตภัณฑ์ จากนั้นลากและวางเพื่อกำหนดข้อมูลที่ต้องการในแต่ละส่วน เช่น ชื่อ ราคา หรือรายละเอียดผลิตภัณฑ์
-
ใช้ JSON-LD: JSON-LD เป็นรูปแบบการเขียนโค้ดที่ได้รับความนิยมในการเพิ่ม Schema Markup เนื่องจากสามารถเพิ่มโค้ดได้โดยตรงในแท็ก <script> ของหน้าเว็บ วิธีนี้ช่วยให้โค้ดไม่รบกวนกับเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ดูสะอาดและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
-
ปลั๊กอินสำหรับ CMS ต่าง ๆ: สำหรับผู้ใช้ CMS เช่น WordPress มีปลั๊กอินหลายตัวที่รองรับการเพิ่ม Schema Markup โดยอัตโนมัติ เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math ที่มีฟีเจอร์ในการเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างแบบ JSON-LD ได้ง่าย ๆ
-
การทดสอบโค้ดด้วย Google’s Rich Results Test: หลังจากเพิ่ม Schema Markup เรียบร้อยแล้ว ควรทดสอบโค้ดด้วยเครื่องมือของ Google เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่เพิ่มเข้าไปนั้นถูกต้องและจะสามารถแสดงผลได้ใน SERP
ประเภทของ Schema Markup ที่นิยมใช้
Schema Markup มีหลายประเภทที่สามารถใช้ได้ตามความเหมาะสมกับเนื้อหาของเว็บไซต์ ตัวอย่าง Schema Markup ที่นิยมใช้ ได้แก่:
-
Organization Schema: สำหรับข้อมูลขององค์กร เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
-
Product Schema: ใช้กับข้อมูลสินค้าหรือบริการ เช่น ชื่อ ราคา และคะแนนรีวิว
-
Local Business Schema: เหมาะสำหรับธุรกิจในท้องถิ่นที่ต้องการแสดงข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่และเวลาเปิดทำการ
-
Article Schema: สำหรับบทความและข่าว ซึ่งช่วยให้บทความสามารถแสดงในรูปแบบของข่าวสารหรือบทความที่มีข้อมูลแสดงผลเฉพาะเจาะจง
-
FAQ Schema: ช่วยให้คำถามที่พบบ่อย (FAQs) ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของ Rich Snippet บน SERP ทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลคำถามและคำตอบได้ทันที
การใช้ Schema Markup อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ Schema Markup ควรพิจารณาตามลักษณะของเว็บไซต์และกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น:
-
สำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ: ใช้ Product Schema เพื่อแสดงข้อมูลราคาสินค้า คะแนนรีวิว หรือสถานะสินค้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้
-
สำหรับเว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก: ใช้ Article Schema เพื่อให้บทความมีโอกาสปรากฏเป็นข่าวเด่นหรือบทความที่มีรายละเอียดของผู้เขียน วันที่เผยแพร่ และหัวข้อที่น่าสนใจ
-
สำหรับเว็บไซต์บริการท้องถิ่น: Local Business Schema จะช่วยให้ข้อมูลการติดต่อและตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจของคุณปรากฏใน SERP โดยตรง ทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อได้ง่ายขึ้น
ข้อสรุป
Schema Markup เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์โดดเด่นในผลลัพธ์การค้นหา โดยการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและมีโครงสร้าง ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการคลิกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และทำให้ข้อมูลของเว็บไซต์มีความน่าสนใจมากขึ้น การใช้ Schema Markup จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักการตลาดและผู้พัฒนาเว็บไซต์ควรคำนึงถึงในการเพิ่มอันดับและดึงดูดผู้ใช้ให้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น