เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบ Responsive ให้โหลดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ในยุคปัจจุบันที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีหน้าจอหลากหลายขนาด ตั้งแต่สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับได้ทุกขนาดหน้าจอ (Responsive Web Design) จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง แต่การทำเว็บไซต์ Responsive ให้มีประสิทธิภาพสูงและโหลดได้รวดเร็ว ก็ยังเป็นความท้าทายสำคลัญของผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคน
บทความนี้จะนำเสนอแนวทางและวิธีการที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ที่ใช้แนวคิด Responsive โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือยุ่งเกี่ยวกับงานเขียนโปรแกรมใดๆ เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ง่ายและได้ผลจริง
1. เลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่มีคุณภาพสูง
จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น คือการเลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่มีคุณภาพ เพราะโฮสติ้งเปรียบเหมือนรากฐานของเว็บไซต์ ถ้ารากฐานไม่แข็งแรง เว็บไซต์ก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
การเลือกผู้ให้บริการที่ดีนั้นควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:
-
เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีศูนย์ข้อมูลตั้งอยู่ใกล้กลุ่มเป้าหมาย เช่น หากกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ที่ประเทศไทย ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศหรือใกล้เคียงมากที่สุด
-
เลือกโฮสติ้งที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ซึ่งทำงานได้รวดเร็วกว่า HDD หลายเท่าตัว
-
พิจารณาเลือกประเภทโฮสติ้งที่เหมาะสมกับขนาดของเว็บไซต์ เช่น Shared Hosting, VPS Hosting หรือ Dedicated Server ตามจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ในปัจจุบัน
2. ใช้งาน Content Delivery Network (CDN)
บริการ CDN คือบริการที่ช่วยกระจายเนื้อหาเว็บไซต์ไปยังศูนย์ข้อมูลต่างๆ ทั่วโลก ช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถดาวน์โหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมาก
ข้อดีของการใช้งาน CDN ได้แก่:
-
เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ลดระยะทางและเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้
-
ลดภาระให้เซิร์ฟเวอร์หลัก ส่งผลให้รองรับผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้น
-
ปรับปรุงเสถียรภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์
บริการ CDN ที่ได้รับความนิยมได้แก่ Cloudflare, AWS CloudFront และ Akamai เป็นต้น
3. ปรับขนาดและบีบอัดรูปภาพก่อนอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์
รูปภาพเป็นองค์ประกอบที่สำคัญและมีผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บไซต์อย่างมาก การบีบอัดรูปภาพก่อนนำขึ้นเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ฟรีที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ด เช่น
-
TinyPNG
-
Compressor.io
-
ImageOptim
-
Squoosh (เครื่องมือจาก Google)
นอกจากนั้น ควรเลือกรูปแบบไฟล์ภาพที่เหมาะสม เช่น JPEG สำหรับภาพถ่ายที่มีรายละเอียดเยอะ PNG สำหรับภาพที่ต้องการความโปร่งใส และ WebP ซึ่งเป็นไฟล์ภาพที่มีขนาดเล็กแต่คุณภาพสูง
4. ลดจำนวนปลั๊กอินหรือส่วนเสริมที่ไม่จำเป็น
การใช้งานเว็บไซต์ผ่านระบบจัดการเนื้อหา (CMS) อย่าง WordPress หรือ Joomla มักจะมีปลั๊กอินมากมายให้เลือกใช้ แต่การติดตั้งปลั๊กอินจำนวนมากเกินไปอาจส่งผลให้เว็บไซต์ทำงานช้าลงได้ จึงควรทบทวนปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่เสมอ และลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นหรือใช้งานน้อยออกไป
5. ลดการใช้งานสคริปต์และบริการจากภายนอกที่ไม่จำเป็น
การนำบริการภายนอกเข้ามาใช้งาน เช่น Google Maps, Facebook Widget, Twitter Widget, YouTube Video Embed หรือบริการวิเคราะห์สถิติต่างๆ อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง เพราะต้องรอให้บริการภายนอกเหล่านี้ตอบกลับมาก่อนเสมอ ควรใช้งานเฉพาะบริการที่จำเป็นจริงๆ และเลือกบริการที่มีความรวดเร็วและเชื่อถือได้เท่านั้น
6. ปรับแต่งฟอนต์ที่ใช้งานบนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ
การใช้ฟอนต์ภายนอก เช่น Google Fonts อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการโหลดเว็บไซต์ได้ ควรเลือกใช้ฟอนต์ที่จำเป็นจริงๆ และใช้น้ำหนักฟอนต์เท่าที่จำเป็น เพื่อให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้ฟอนต์มาตรฐานของระบบ (System Fonts) ซึ่งไม่ต้องโหลดฟอนต์เพิ่มเติมจากภายนอกและทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมาก
7. ลดจำนวนเนื้อหาที่แสดงบนหน้าแรก
หน้าแรกของเว็บไซต์ควรแสดงเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญที่สุดเท่านั้น โดยหลีกเลี่ยงการใส่เนื้อหามากเกินไป เช่น รูปภาพจำนวนมาก วิดีโอความละเอียดสูง หรือสไลด์โชว์ขนาดใหญ่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน้าแรกของเว็บไซต์โหลดช้าลง และส่งผลให้ผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะโหลดเสร็จสมบูรณ์ได้
8. ใช้งานระบบแคช (Caching)
ระบบแคชเป็นวิธีการเก็บข้อมูลชั่วคราวไว้ในเบราว์เซอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้เมื่อผู้ใช้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง เบราว์เซอร์ไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง ส่งผลให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นมาก
ระบบจัดการเนื้อหายอดนิยมอย่าง WordPress มีปลั๊กอินสำหรับจัดการแคชที่สามารถใช้งานได้ง่าย เช่น WP Rocket, WP Super Cache และ W3 Total Cache เป็นต้น หรือผู้ให้บริการโฮสติ้งบางรายก็มีระบบแคชให้ใช้งานในตัวอยู่แล้วเช่นกัน
9. ตรวจสอบและประเมินผลเว็บไซต์เป็นประจำ
ควรใช้เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ฟรี เช่น Google PageSpeed Insights, GTmetrix หรือ Pingdom เพื่อวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสอบประสิทธิภาพเป็นประจำช่วยให้รู้ปัญหาและแก้ไขได้ทันที เพื่อให้เว็บไซต์สามารถรักษาความเร็วในการโหลดได้อย่างต่อเนเนื่อง
สรุป
แนวทางข้างต้นคือวิธีการที่ผู้ดูแลเว็บไซต์ทั่วไปสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือทำการปรับแต่งทางเทคนิคที่ซับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น หากทำตามแนวทางเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ เว็บไซต์จะสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสามารถรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของเว็บไซต์ได้อย่างแน่นอน


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








