19Mar, 2025
Language blog :
Thai
Share blog : 
19 March, 2025
Thai

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบ Responsive ให้โหลดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

By

2 mins read
เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์แบบ Responsive ให้โหลดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ในยุคปัจจุบันที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้งานเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีหน้าจอหลากหลายขนาด ตั้งแต่สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับได้ทุกขนาดหน้าจอ (Responsive Web Design) จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง แต่การทำเว็บไซต์ Responsive ให้มีประสิทธิภาพสูงและโหลดได้รวดเร็ว ก็ยังเป็นความท้าทายสำคลัญของผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคน

บทความนี้จะนำเสนอแนวทางและวิธีการที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ที่ใช้แนวคิด Responsive โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือยุ่งเกี่ยวกับงานเขียนโปรแกรมใดๆ เพื่อช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ง่ายและได้ผลจริง

 

1. เลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่มีคุณภาพสูง

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น คือการเลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งที่มีคุณภาพ เพราะโฮสติ้งเปรียบเหมือนรากฐานของเว็บไซต์ ถ้ารากฐานไม่แข็งแรง เว็บไซต์ก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

การเลือกผู้ให้บริการที่ดีนั้นควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีศูนย์ข้อมูลตั้งอยู่ใกล้กลุ่มเป้าหมาย เช่น หากกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ที่ประเทศไทย ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศหรือใกล้เคียงมากที่สุด

  • เลือกโฮสติ้งที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ซึ่งทำงานได้รวดเร็วกว่า HDD หลายเท่าตัว

  • พิจารณาเลือกประเภทโฮสติ้งที่เหมาะสมกับขนาดของเว็บไซต์ เช่น Shared Hosting, VPS Hosting หรือ Dedicated Server ตามจำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์ในปัจจุบัน

 

2. ใช้งาน Content Delivery Network (CDN)

บริการ CDN คือบริการที่ช่วยกระจายเนื้อหาเว็บไซต์ไปยังศูนย์ข้อมูลต่างๆ ทั่วโลก ช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถดาวน์โหลดข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมาก

ข้อดีของการใช้งาน CDN ได้แก่:

  • เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ลดระยะทางและเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้

  • ลดภาระให้เซิร์ฟเวอร์หลัก ส่งผลให้รองรับผู้ใช้งานจำนวนมากขึ้น

  • ปรับปรุงเสถียรภาพและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์

บริการ CDN ที่ได้รับความนิยมได้แก่ Cloudflare, AWS CloudFront และ Akamai เป็นต้น

 

3. ปรับขนาดและบีบอัดรูปภาพก่อนอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์

รูปภาพเป็นองค์ประกอบที่สำคัญและมีผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บไซต์อย่างมาก การบีบอัดรูปภาพก่อนนำขึ้นเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ฟรีที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ด เช่น

  • TinyPNG

  • Compressor.io

  • ImageOptim

  • Squoosh (เครื่องมือจาก Google)

นอกจากนั้น ควรเลือกรูปแบบไฟล์ภาพที่เหมาะสม เช่น JPEG สำหรับภาพถ่ายที่มีรายละเอียดเยอะ PNG สำหรับภาพที่ต้องการความโปร่งใส และ WebP ซึ่งเป็นไฟล์ภาพที่มีขนาดเล็กแต่คุณภาพสูง

 

4. ลดจำนวนปลั๊กอินหรือส่วนเสริมที่ไม่จำเป็น

การใช้งานเว็บไซต์ผ่านระบบจัดการเนื้อหา (CMS) อย่าง WordPress หรือ Joomla มักจะมีปลั๊กอินมากมายให้เลือกใช้ แต่การติดตั้งปลั๊กอินจำนวนมากเกินไปอาจส่งผลให้เว็บไซต์ทำงานช้าลงได้ จึงควรทบทวนปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่เสมอ และลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นหรือใช้งานน้อยออกไป

 

5. ลดการใช้งานสคริปต์และบริการจากภายนอกที่ไม่จำเป็น

การนำบริการภายนอกเข้ามาใช้งาน เช่น Google Maps, Facebook Widget, Twitter Widget, YouTube Video Embed หรือบริการวิเคราะห์สถิติต่างๆ อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง เพราะต้องรอให้บริการภายนอกเหล่านี้ตอบกลับมาก่อนเสมอ ควรใช้งานเฉพาะบริการที่จำเป็นจริงๆ และเลือกบริการที่มีความรวดเร็วและเชื่อถือได้เท่านั้น

 

 

6. ปรับแต่งฟอนต์ที่ใช้งานบนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ

การใช้ฟอนต์ภายนอก เช่น Google Fonts อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการโหลดเว็บไซต์ได้ ควรเลือกใช้ฟอนต์ที่จำเป็นจริงๆ และใช้น้ำหนักฟอนต์เท่าที่จำเป็น เพื่อให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้ฟอนต์มาตรฐานของระบบ (System Fonts) ซึ่งไม่ต้องโหลดฟอนต์เพิ่มเติมจากภายนอกและทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมาก

 

7. ลดจำนวนเนื้อหาที่แสดงบนหน้าแรก

หน้าแรกของเว็บไซต์ควรแสดงเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญที่สุดเท่านั้น โดยหลีกเลี่ยงการใส่เนื้อหามากเกินไป เช่น รูปภาพจำนวนมาก วิดีโอความละเอียดสูง หรือสไลด์โชว์ขนาดใหญ่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้หน้าแรกของเว็บไซต์โหลดช้าลง และส่งผลให้ผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะโหลดเสร็จสมบูรณ์ได้

 

8. ใช้งานระบบแคช (Caching)

ระบบแคชเป็นวิธีการเก็บข้อมูลชั่วคราวไว้ในเบราว์เซอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้เมื่อผู้ใช้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง เบราว์เซอร์ไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง ส่งผลให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นมาก

ระบบจัดการเนื้อหายอดนิยมอย่าง WordPress มีปลั๊กอินสำหรับจัดการแคชที่สามารถใช้งานได้ง่าย เช่น WP Rocket, WP Super Cache และ W3 Total Cache เป็นต้น หรือผู้ให้บริการโฮสติ้งบางรายก็มีระบบแคชให้ใช้งานในตัวอยู่แล้วเช่นกัน

 

9. ตรวจสอบและประเมินผลเว็บไซต์เป็นประจำ

ควรใช้เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ฟรี เช่น Google PageSpeed Insights, GTmetrix หรือ Pingdom เพื่อวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสอบประสิทธิภาพเป็นประจำช่วยให้รู้ปัญหาและแก้ไขได้ทันที เพื่อให้เว็บไซต์สามารถรักษาความเร็วในการโหลดได้อย่างต่อเนเนื่อง

 

สรุป

แนวทางข้างต้นคือวิธีการที่ผู้ดูแลเว็บไซต์ทั่วไปสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดหรือทำการปรับแต่งทางเทคนิคที่ซับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น หากทำตามแนวทางเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ เว็บไซต์จะสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสามารถรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของเว็บไซต์ได้อย่างแน่นอน

 

Written by
Fah Narongchai Bunthong
Fah Narongchai Bunthong

Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

- More than 120,000 people/day visit to read our blogs

Other articles for you

24
June, 2025
JS class syntax
24 June, 2025
JS class syntax
เชื่อว่าหลายๆคนที่เขียน javascript กันมา คงต้องเคยสงสัยกันบ้าง ว่า class ที่อยู่ใน js เนี่ย มันคืออะไร แล้วมันมีหน้าที่ต่างกับการประกาศ function อย่างไร? เรามารู้จักกับ class ให้มากขึ้นกันดีกว่า class เปรียบเสมือนกับ blueprint หรือแบบพิมพ์เขียว ที่สามารถนำไปสร้างเป็นสิ่งของ( object ) ตาม blueprint หรือแบบพิมพ์เขียว( class ) นั้นๆได้ โดยภายใน class

By

4 mins read
Thai
24
June, 2025
15 สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับ 5G
24 June, 2025
15 สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับ 5G
ผู้ให้บริการเครือข่ายในสหรัฐฯ ได้เปิดตัว 5G ในหลายรูปแบบ และเช่นเดียวกับผู้ให้บริการเครือข่ายในยุโรปหลายราย แต่… 5G มันคืออะไร และทำไมเราต้องให้ความสนใจ บทความนี้ได้รวบรวม 15 สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องรู้เกี่ยวกับ 5G เพราะเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันกำลังจะถูกใช้งานอย่างกว้างขวางขึ้น 1. 5G หรือ Fifth-Generation คือยุคใหม่ของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่จะมาแทนที่ระบบ 4G ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมันไม่ได้ถูกจำกัดแค่มือถือเท่านั้น แต่รวมถึงอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ 2. 5G คือการพัฒนา 3 ส่วนที่สำคัญที่จะนำมาสู่การเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ขยายช่องสัญญาณขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ การตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นในระยะเวลาที่น้อยลง ความสามารถในการเชื่อมต่ออุปกรณ์มากกว่า 1 ในเวลาเดียวกัน 3. สัญญาณ 5G นั้นแตกต่างจากระบบ

By

4 mins read
Thai
24
June, 2025
จัดการ Array ด้วย Javascript (Clone Deep)
24 June, 2025
จัดการ Array ด้วย Javascript (Clone Deep)
ในปัจจุบันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาษาที่ถูกใช้ในการเขียนเว็บต่าง ๆ นั้น คงหนีไม่พ้นภาษา Javascript ซึ่งเป็นภาษาที่ถูกนำไปพัฒนาเป็น framework หรือ library ต่าง ๆ มากมาย ผู้พัฒนาหลายคนก็มีรูปแบบการเขียนภาษา Javascript ที่แตกต่างกัน เราเลยมีแนวทางการเขียนที่หลากหลาย มาแบ่งปันเพื่อน ๆ เกี่ยวกับการจัดการ Array ด้วยภาษา Javascript กัน เรามาดูตัวอย่างกันเลยดีกว่า โดยปกติแล้วการ copy ค่าจาก value type ธรรมดา สามารถเขียนได้ดังนี้

By

4 mins read
Thai

Let’s build digital products that are
simply awesome !

We will get back to you within 24 hours!Go to contact us
Please tell us your ideas.
- Senna Labsmake it happy
Contact ball
Contact us bg 2
Contact us bg 4
Contact us bg 1
Ball leftBall rightBall leftBall right
Sennalabs gray logo28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599hello@sennalabs.com© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved.