Usability Testing ช่วยลด Cost ในการทำ Software ได้อย่างไร
Usability Testing เป็นขั้นตอนการทำงานที่สำคัญในการตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่เราออกแบบมาสามารถใช้งานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน โดยการนำผลิตภัณฑ์ของเราไปทดสอบและพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้งานจริง ขั้นตอนนี้จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาที่ผู้ใช้งานพบเจอและทำให้เราแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อทำให้การใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกพอใจกับตัวผลิตภัณฑ์ของเรา และเป็นการกระตุ้นยอดขายไปในตัว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Usability Testing มีความสำคัญก็คือการทำขั้นตอนนี้ยังสามารถช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ด้วย ซึ่งในบทความนี้เราจะมาอธิบายว่า Usability Testing ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างไร
1. ช่วยลดการทำงานซ้ำซ้อนและลดต้นทุนของงาน
ประโยชน์อย่างแรกที่เราจะได้รับเมื่อทำ Usability Testing ก็คือการที่ขั้นตอนนี้จะช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ซึ่งอาจจะกระทบไปถึงการที่เราออกแบบงานเสร็จล่าช้า โดยการทำขั้นตอนนี้จะทำให้เรามองเห็นปัญหาต่าง ๆ และแก้ไขงานออกแบบของเราได้ก่อนที่งานของเราจะไปไกล และใช้ต้นทุนที่สูงในการปรับเปลี่ยนแต่ละครั้ง อีกทั้งการทำ Usability Testing จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการคืออะไร ฟีเจอร์อะไรที่สำคัญ เนื้อหาส่วนไหนที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจยาก เราก็จะสามารถออกแบบงานให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้มากขึ้น และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากงานเพื่อลดต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
2. เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
การในงานออกแบบของเราไปทำขั้นตอน Usability Testing จะทำให้เราสามารถวัดผลได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีประสิทธิภาพดีขนาดไหน เราสามารถดูได้ว่าความเร็วในการใช้งาน ความถูกต้องของข้อมูล และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นั้นดีพอแล้วหรือยัง ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะมีผลกับความรู้สึกของผู้ใช้งานที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งเมื่อเรารู้ถึงปัญหาและแก้ไข เราก็จะสามารถหาวิธีออกแบบที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อประหยัดเวลาในการกลับมาแก้ไขและต้นทุนในการทำงาน
3. รักษากลุ่มผู้ใช้งานเก่าและเพิ่มผู้ใช้งานใหม่
นอกเหนือจากเหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้การทำ Usability Testing จะช่วยเราเข้าใจในปัญหาของผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ จะช่วยทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีประโยชน์กับเขา และตอบโจทย์กับสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งเมื่อผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็อาจจะส่งผลให้ผู้ใช้งานเหล่านั้นกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประจำ และอาจจะแนะนำให้คนที่รู้จักมาลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเราด้วย ซึ่งจะทำให้เราสามารถลดต้นทุนในการทำการตลาดหรือออกแบบฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อรักษาผู้ใช้งานเก่าและหาผู้ใช้งานใหม่
4. เข้าใจประสบการณ์ของผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง
อีกหนึ่งสิ่งที่ Usability Testing จะช่วยในการลดต้นทุนได้ก็คือการที่เราเข้าใจประสบการณ์ของผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง และการที่เราได้รับความคิดเห็นต่องานของเราจากผู้ใช้งานจริง เมื่อเรานำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการทำ Usability Testing มาวิเคราะห์ เราจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าเราจะออกแบบผลิตภัณฑ์ของเราไปในทิศทางไหน จัดลำดับความสำคัญของฟีเจอร์ต่าง ๆ และเกิดไอเดียใหม่ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ อีกทั้งขั้นตอนนี้จะเป็นการตรวจสอบว่าสมมติฐานที่เราวางไว้ถูกหรือผิด ช่วยหลีกเลี่ยงการเสียเวลาและเงินลงทุนไปกับการทำผลิตภัณฑ์ไปในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง
สุดท้ายนี้แม้การทำ Usability Testing จะไม่ใช่วิธีเดียวที่จะช่วยให้เราประหยัดเวลาการทำงาน และลดต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ขั้นตอนนี้ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการออกแบบงานของเรา เพราะข้อมูลต่าง ๆ ที่เราจะได้มาจากการทำ Usability Testing นั้นล้วนแล้วจะมีประโยชน์ต่อทั้งการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และธุรกิจของเราทั้งสิ้น
Reference:
https://www.linkedin.com/advice/0/how-can-usability-testing-reduce-development