ธุรกิจที่เปลี่ยนจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นพัฒนาเอง ประสบความสำเร็จอย่างไร?

ธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นด้วย ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป เพราะสะดวก รวดเร็ว และมีต้นทุนต่ำกว่าในระยะแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น บางองค์กรพบว่า ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปอาจไม่สามารถรองรับความต้องการเฉพาะของพวกเขาได้ ทำให้บางธุรกิจเลือก พัฒนาโซลูชันของตัวเอง
บทความนี้จะอธิบาย ประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนไปใช้ระบบที่พัฒนาเอง พร้อมตัวอย่างกรณีศึกษาของธุรกิจที่เริ่มต้นจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และภายหลังเลือกพัฒนาระบบของตัวเอง
1. ทำไมธุรกิจมักเริ่มจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูป?
ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีฟีเจอร์พร้อมใช้งาน และสามารถช่วยให้ธุรกิจทำงานได้ทันที
ข้อดีของซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
-
ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ – มีแพ็กเกจรายเดือนหรือใช้งานฟรีได้บางส่วน
-
ใช้งานได้ทันที – ไม่ต้องพัฒนาเอง ลดระยะเวลาในการเริ่มต้น
-
มีการอัปเดตและดูแลโดยผู้ให้บริการ – ลดภาระงานด้านเทคนิค
-
รองรับการขยายตัวระดับพื้นฐาน – มีปลั๊กอินและ API ให้เลือกใช้งาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ธุรกิจจำนวนมากพบว่า ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมีข้อจำกัด ทำให้ต้องมองหาทางเลือกใหม่
2. ทำไมบางธุรกิจเลือกเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นพัฒนาเอง?
ข้อจำกัดของซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
-
ไม่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับ Workflow เฉพาะของธุรกิจ
-
ค่าธรรมเนียมสูงขึ้นเมื่อธุรกิจขยายตัว เช่น ค่าผู้ใช้เพิ่มเติม ค่าบริการ API
-
ข้อจำกัดในการเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น ERP, CRM, หรือระบบหลังบ้าน
-
ข้อกังวลด้านความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บโดยผู้ให้บริการ
เมื่อธุรกิจต้องการ ความยืดหยุ่นมากขึ้น และมีงบประมาณรองรับ การพัฒนาระบบเองจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
3. กรณีศึกษา: ธุรกิจที่เปลี่ยนจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นพัฒนาเอง
กรณีศึกษา: บริษัทอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนจาก Shopify มาใช้แพลตฟอร์มของตัวเอง
สถานการณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลง
-
บริษัทเริ่มต้นด้วย Shopify เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยให้พวกเขาเริ่มธุรกิจได้เร็ว
-
เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น ค่าธรรมเนียม Shopify สูงขึ้น ตามจำนวนคำสั่งซื้อ
-
ต้องการระบบที่ ซิงค์ข้อมูลคลังสินค้าและโลจิสติกส์แบบอัตโนมัติ แต่ Shopify มีข้อจำกัด
-
ต้องการควบคุมประสบการณ์ของลูกค้า (UI/UX) มากขึ้น
แนวทางการเปลี่ยนแปลง
-
บริษัทพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซของตัวเองที่ รองรับฟีเจอร์ที่ต้องการ
-
ปรับแต่งระบบให้เชื่อมต่อกับ ERP และระบบคลังสินค้า ได้อย่างราบรื่น
-
ลดค่าธรรมเนียมรายเดือนของแพลตฟอร์มสำเร็จรูป
ผลลัพธ์ที่ได้
-
ค่าใช้จ่ายต่อคำสั่งซื้อลดลง 40 เปอร์เซ็นต์
-
การจัดการคำสั่งซื้อและสต๊อกทำได้แบบอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาด
-
ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิม ทำให้อัตราการซื้อซ้ำเพิ่มขึ้น
4. ประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาระบบของตัวเอง
1. ความยืดหยุ่นสูง
ธุรกิจสามารถ ปรับแต่งระบบให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง ไม่ต้องใช้ฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
2. ลดต้นทุนในระยะยาว
แม้ว่าการพัฒนาเองจะมี ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า แต่สามารถลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ค่า Subscription และค่าบริการเสริม
3. ควบคุมข้อมูลได้เอง
ไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ภายนอก สามารถจัดเก็บและใช้ข้อมูลลูกค้าได้อย่างปลอดภัย
4. เชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ง่าย
สามารถ อินทิเกรตระบบ ERP, CRM, ระบบจัดส่งสินค้า และระบบบัญชีได้อย่างอิสระ
5. รองรับการขยายธุรกิจได้ดีกว่า
เมื่อธุรกิจเติบโต สามารถปรับขยายระบบโดยไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มใหม่
5. SME ควรเลือกอะไร?
-
หากต้องการระบบที่ใช้งานได้เร็ว และมีงบประมาณจำกัด → ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
-
หากต้องการความยืดหยุ่นและสามารถลงทุนได้ในระยะยาว → การพัฒนาระบบเองจะคุ้มค่ากว่า
-
หากยังไม่แน่ใจ → อาจเริ่มจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และค่อยพัฒนาโมดูลเพิ่มเติมในภายหลัง
สรุป
ธุรกิจจำนวนมากเริ่มต้นจาก ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป เพราะต้นทุนต่ำและใช้งานได้เร็ว แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การพัฒนาระบบของตัวเองอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อความยืดหยุ่น ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
ก่อนเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเป็นพัฒนาเอง ธุรกิจควร วิเคราะห์ความต้องการ แผนการเติบโต และงบประมาณ เพื่อให้ได้โซลูชันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กรของคุณ


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








