เทรนด์ซอฟต์แวร์สำหรับ SME ปี 2025: พัฒนาเองหรือใช้ระบบสำเร็จรูป

ธุรกิจ SME มีความต้องการที่แตกต่างกัน และซอฟต์แวร์สำเร็จรูปอาจไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด การพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะ (Custom Software Development) เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ ตรงกับกระบวนการทำงานขององค์กร และปรับเปลี่ยนได้ตามการเติบโตของธุรกิจ
บทความนี้เป็นคู่มือสำหรับเจ้าของ SME ที่ต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะทาง โดยจะอธิบายถึงประโยชน์ วิธีการพัฒนา และแนวทางการเลือกผู้พัฒนา
1. ทำไม SME ควรใช้ซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะแทนซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
ข้อดีของซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะ
-
ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของธุรกิจ ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมักมีฟีเจอร์ทั่วไป แต่ซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับกระบวนการของธุรกิจ SME ได้โดยตรง
-
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ระบบสามารถออกแบบให้ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มที่ธุรกิจใช้อยู่ เช่น ระบบบัญชี ระบบสต๊อก หรือ CRM
-
ปรับขยายได้ง่ายตามการเติบโตของธุรกิจ สามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ หรือเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ในอนาคต
-
ลดต้นทุนในระยะยาว แม้ว่าในช่วงแรกอาจมีต้นทุนสูงกว่าซอฟต์แวร์สำเร็จรูป แต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์และค่าธรรมเนียมรายเดือน
ข้อเสียที่ต้องพิจารณา
-
ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะอาจใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนา
-
ต้องการทีมพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญ หากไม่มีทีมไอทีในองค์กร อาจต้องจ้างบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์
-
ต้องมีการดูแลและอัปเดต ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเองต้องมีการบำรุงรักษาและอัปเกรดเป็นระยะ
2. กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ SME
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์ความต้องการของธุรกิจ
ก่อนเริ่มพัฒนา ต้องกำหนดว่า ซอฟต์แวร์นี้จะใช้แก้ปัญหาอะไร เช่น
-
ต้องการระบบบริหารสต๊อกสินค้าที่ซิงค์ข้อมูลระหว่าง Shopee, Lazada และหน้าร้าน
-
ต้องการระบบ CRM ระบบติดตามลูกค้าที่ช่วยส่งอีเมลอัตโนมัติ
-
ต้องการระบบบัญชีที่เชื่อมต่อกับธนาคารและทำใบแจ้งหนี้อัตโนมัติ
ขั้นตอนที่ 2: เลือกเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม
ควรเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับธุรกิจ เช่น
-
เว็บแอปพลิเคชัน ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ เช่น ระบบ CRM และ ERP
-
โมบายแอปพลิเคชัน เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลจากมือถือ เช่น ระบบสั่งซื้อออนไลน์
-
API และระบบเชื่อมต่อ ใช้สำหรับซอฟต์แวร์ที่ต้องเชื่อมกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
ขั้นตอนที่ 3: เลือกผู้พัฒนาซอฟต์แวร์
หากธุรกิจไม่มีทีมไอทีภายใน อาจเลือกบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือฟรีแลนซ์ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยพิจารณา
-
ผลงานที่ผ่านมา ดูโปรเจกต์ที่เคยทำ และรีวิวจากลูกค้า
-
ความสามารถทางเทคนิค ตรวจสอบว่าใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจ
-
บริการหลังการขายและการบำรุงรักษา ตรวจสอบว่ามีบริการดูแลระบบหลังส่งมอบ
ขั้นตอนที่ 4: เริ่มพัฒนาและทดสอบระบบ
-
การออกแบบ UI/UX ทำให้ระบบใช้งานง่าย และรองรับทุกอุปกรณ์
-
พัฒนาระบบ ทำการโค้ดและทดสอบความเสถียรของระบบ
-
การทดสอบระบบ (Testing) ตรวจสอบว่าระบบทำงานได้ถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาด
ขั้นตอนที่ 5: ติดตั้งและอบรมการใช้งาน
-
ให้พนักงานเรียนรู้วิธีใช้งานซอฟต์แวร์
-
ตั้งค่าระบบให้เข้ากับการทำงานขององค์กร
-
ตรวจสอบความเสถียรก่อนใช้งานจริง
ขั้นตอนที่ 6: บำรุงรักษาและอัปเกรดระบบ
-
อัปเดตระบบให้ทันสมัย
-
ปรับปรุงประสิทธิภาพตามความต้องการของธุรกิจ
3. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะ
ราคาการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
-
ขนาดของระบบ ระบบเล็กใช้เวลาพัฒนา 2-3 เดือน ส่วนระบบใหญ่ใช้เวลาหลายเดือน
-
เทคโนโลยีที่ใช้ เว็บแอปพลิเคชันมักมีต้นทุนต่ำกว่าโมบายแอปพลิเคชัน
-
ค่าบริการของบริษัทพัฒนา ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และขอบเขตงาน
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
-
ซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก: 50,000 – 200,000 บาท
-
ซอฟต์แวร์ขนาดกลาง: 200,000 – 500,000 บาท
-
ซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่: 500,000 บาทขึ้นไป
4. SME ควรใช้ซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะหรือไม่
เหมาะสำหรับ
-
ธุรกิจที่ต้องการระบบที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจง
-
ธุรกิจที่ต้องการปรับขยายระบบให้รองรับการเติบโตในอนาคต
-
ธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนระยะยาวจากค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
ไม่เหมาะสำหรับ
-
ธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้งานซอฟต์แวร์เร็วและมีงบประมาณจำกัด
-
ธุรกิจที่สามารถใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปได้โดยไม่ต้องปรับแต่งมาก
หาก SME ต้องการซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจและรองรับการเติบโตระยะยาว การพัฒนาซอฟต์แวร์ปรับแต่งเฉพาะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ได้มากกว่าซอฟต์แวร์สำเร็จรูป


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








