UX/UI ที่ดีช่วยลด Bounce Rate ได้อย่างไร?

DesignBusiness
2 mins read
2 mins read

Published

17 March, 2025

Language

Thai

Written by

Share

UX/UI ที่ดีช่วยลด Bounce Rate ได้อย่างไร?

Bounce Rate คืออัตราที่ผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์แล้วออกไปทันทีโดยไม่โต้ตอบหรือคลิกไปยังหน้าอื่นของเว็บไซต์ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่า เว็บไซต์ของคุณสามารถดึงดูดและรักษาผู้ใช้ไว้ได้นานแค่ไหน

หาก Bounce Rate สูง หมายความว่า ผู้ใช้ไม่พบสิ่งที่ต้องการ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับ UX/UI ที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะออกจากเว็บไซต์ UX/UI ที่ดีสามารถช่วยลด Bounce Rate ได้โดย ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และนำเสนอเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทความนี้ เราจะสำรวจ แนวทางการปรับปรุง UX/UI เพื่อลด Bounce Rate พร้อมกรณีศึกษาของเว็บไซต์ข่าวที่สามารถเพิ่มอัตราการอ่านบทความจนจบขึ้น 50%

 

Bounce Rate สูงเกิดจากอะไร?

ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ไข มาดูปัจจัยหลักที่ทำให้ Bounce Rate สูงกันก่อน

  1. เว็บไซต์โหลดช้า – ผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์หากต้องรอนานเกิน 3 วินาที

  2. เนื้อหาอ่านยาก – ฟอนต์ที่เล็กเกินไป สีที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก

  3. โครงสร้างเว็บไซต์ซับซ้อน – หากผู้ใช้ไม่สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย พวกเขาจะเลือกออกจากเว็บ

  4. ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็น – ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม

  5. Pop-up และโฆษณาที่กวนใจ – การมี Pop-up มากเกินไปทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและออกจากเว็บทันที

 

UX/UI ที่ดีช่วยลด Bounce Rate ได้อย่างไร?

1. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed Optimization)

ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการรอ หากเว็บไซต์โหลดช้าเกิน 3 วินาที 53% ของผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์ทันที

วิธีแก้ไข:

  • ใช้ รูปภาพที่บีบอัดแล้ว และหลีกเลี่ยงการใช้ไฟล์ขนาดใหญ่

  • ใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นจากทุกพื้นที่

  • ลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น

2. ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย และออกแบบเลย์เอาต์ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้

หากผู้ใช้ต้องเพ่งสายตาหรือรู้สึกว่าเนื้อหาอ่านยาก พวกเขาจะออกจากเว็บไซต์

แนวทางแก้ไข:

  • ใช้ ฟอนต์ Sans-serif ที่อ่านง่าย และขนาดไม่เล็กเกินไป (เช่น 16px ขึ้นไป)

  • ใช้ สีตัวอักษรที่มีคอนทราสต์สูง เช่น ขาว-ดำ หรือเทาเข้ม-ขาว

  • ใช้ โครงสร้างที่จัดวางอย่างชัดเจน เช่น การแบ่งย่อหน้า การใช้หัวข้อ (H1, H2, H3)

3. แสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น

หากเว็บไซต์ไม่มีลิงก์ไปยังบทความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้จะไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ

วิธีแก้ไข:

  • ใช้ Related Articles หรือ Suggested Content ใต้บทความ

  • ใช้ Infinite Scroll หรือ Load More เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ง่าย

  • ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกไปยังหน้าอื่น

4. ลด Pop-up และโฆษณาที่รบกวนการอ่าน

82% ของผู้ใช้บอกว่า Pop-up เป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในเว็บไซต์

แนวทางปรับปรุง UX/UI:

  • ลดการใช้ Pop-up ที่ขัดจังหวะการอ่าน ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น สมัครรับข่าวสาร

  • ไม่ควรมีโฆษณาที่ครอบคลุมทั้งหน้าจอหรือบังคับให้กดปิด

5. รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization & Responsive Design)

เกือบ 70% ของผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านมือถือ หากเว็บไซต์ไม่รองรับการใช้งานบนมือถือ Bounce Rate จะสูงขึ้น

แนวทางปรับปรุง UX/UI สำหรับมือถือ:

  • ใช้ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์ปรับขนาดอัตโนมัติตามหน้าจอ

  • ทำให้ปุ่มและลิงก์ ใหญ่พอที่จะกดได้ง่าย บนหน้าจอมือถือ

  • ปรับแต่ง เลย์เอาต์ให้เหมาะสม ไม่ให้เนื้อหาดูแออัดจนเกินไป

 

กรณีศึกษา: เว็บไซต์ข่าวที่ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บ

ปัญหาที่พบก่อนการปรับปรุง UX/UI

เว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งพบว่า ผู้ใช้ใช้เวลาเฉลี่ยบนหน้าเว็บเพียง 30 วินาที และ Bounce Rate สูงถึง 75% ซึ่งเกิดจากปัญหาดังนี้:

  1. โหลดหน้าเว็บช้า ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องการรอ

  2. ฟอนต์เล็กและอ่านยาก โดยเฉพาะบนมือถือ

  3. ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็น ทำให้ผู้ใช้ไม่มีแรงจูงใจให้อ่านบทความอื่น

  4. มี Pop-up โฆษณาที่กวนใจ จนผู้ใช้เลือกที่จะออกจากเว็บไซต์

 

การแก้ไข UX/UI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

ทีม UX/UI ได้ดำเนินการปรับปรุงเว็บไซต์โดย:

  1. ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์

    • ลดขนาดไฟล์ภาพและใช้ Lazy Loading

    • ปรับปรุงโครงสร้างโค้ดให้โหลดเร็วขึ้น

  2. ออกแบบให้ฟอนต์อ่านง่ายขึ้น

    • เปลี่ยนฟอนต์เป็น Sans-serif ที่ชัดเจนขึ้น

    • ปรับขนาดฟอนต์เป็น 16px-18px และเพิ่มระยะห่างระหว่างบรรทัด

  3. เพิ่มบทความที่เกี่ยวข้องในแต่ละหน้า

    • ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการอ่านของผู้ใช้ และแนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง

    • เพิ่มปุ่ม "อ่านต่อ" ใต้แต่ละบทความ

  4. ลด Pop-up ที่ไม่จำเป็น

    • ลบโฆษณาที่รบกวนการอ่าน และใช้แบนเนอร์เล็กๆ แทน

  5. ปรับปรุงการใช้งานบนมือถือ

    • ใช้ Responsive Design เพื่อให้หน้าเว็บแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์

    • ขยายขนาดปุ่มและลิงก์ให้กดง่ายขึ้น

 

ผลลัพธ์หลังการปรับปรุง UX/UI

หลังจากดำเนินการปรับปรุง UX/UI พบว่า:

  • Bounce Rate ลดลงจาก 75% เหลือ 45%

  • อัตราการอ่านบทความจนจบเพิ่มขึ้น 50%

  • เวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บเพิ่มขึ้น 2 เท่า

  • อัตราการคลิกบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 35%

 

สรุป:

UX/UI มีบทบาทสำคัญในการช่วยลด Bounce Rate และเพิ่ม Engagement ของผู้ใช้ การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีต้องคำนึงถึง ความเร็วในการโหลด, ความอ่านง่ายของเนื้อหา, การแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และการลดสิ่งที่รบกวนผู้ใช้

กรณีศึกษาของเว็บไซต์ข่าวแสดงให้เห็นว่า การปรับปรุง UX/UI สามารถเพิ่มเวลาใช้งานเว็บไซต์และลดอัตราการออกจากหน้าเว็บได้อย่างมีนัยสำคัญ หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณดึงดูดผู้ใช้และสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนาน UX/UI เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

Written by
Ya Piya Kirdpanya
Ya Piya Kirdpanya

Share

Keep me posted
to follow product news, latest in technology, solutions, and updates

More than 120,000 people/day  visit to read our blogs

Related articles

Explore all

Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
Inbound Marketing การตลาดแห่งการดึงดูด
การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเพราะวิธีที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอดีตไม่ได้แปลว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตด้วยเสมอไปประกอบการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆทำให้นักการตลาดต้องมีการปรับรูปแบบการทำการตลาดในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนและคอยส่งมอบคุณค่าเพื่อให้เข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือ การทำการตลาดผ่าน Content ต่างๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายเข้ามา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะทำผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านสื่อ Social Media ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Inbound Marketing เป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาในปัจจุบันทำให้การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing นั้นทำง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก นอกจากนี้การทำ Inbound Marketing ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักการของ Inbound Marketing Attract สร้าง
13 Nov, 2025

by

How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
How Senna Labs helped S&P Food transform their online e-commerce business
S&P Food’s yearly revenues were 435 mils $USD. 10% of the revenue was from online sales. The board of directors felt that online sales should account for more. The digital
13 Nov, 2025

by

การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจ Startup หรือ Pivot or Preserve
อีกหนึ่งบททดสอบสำหรับการทำ Lean Startup ก็คือ Pivot หรือ Preserve ซึ่งหมายถึง การออกแบบหรือทดสอบสมมติฐานของผลิตภัณฑ์หรือแผนธุรกิจใหม่หลังจากที่แผนเดิมไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่คาดคิด จึงต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด ตัวอย่างการทำ Pivot ตอนแรก Groupon เป็น Online Activism Platform คือแพลตฟอร์มที่มีไว้เพื่อสร้างแคมเปญรณรงค์หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ซึ่งตอนแรกแทบจะไม่มีคนเข้ามาใช้งานเลย และแล้วผู้ก่อตั้ง Groupon ก็ได้เกิดไอเดียทำบล็อกขึ้นในเว็บไซต์โดยลองโพสต์คูปองโปรโมชั่นพิซซ่า หลังจากนั้น ก็มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาคิดใหม่และเปลี่ยนทิศทางหรือ Pivot จากกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นกลุ่มลูกค้าจริง Pivot ถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเภท Customer Need
13 Nov, 2025

by

Contact Senna Labs at :

hello@sennalabs.com28/11 Soi Ruamrudee, Lumphini, Pathumwan, Bangkok 10330+66 62 389 4599
© 2022 Senna Labs Co., Ltd.All rights reserved. | Privacy policy