UX/UI ที่ดีช่วยลด Bounce Rate ได้อย่างไร?

Bounce Rate คืออัตราที่ผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์แล้วออกไปทันทีโดยไม่โต้ตอบหรือคลิกไปยังหน้าอื่นของเว็บไซต์ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่า เว็บไซต์ของคุณสามารถดึงดูดและรักษาผู้ใช้ไว้ได้นานแค่ไหน
หาก Bounce Rate สูง หมายความว่า ผู้ใช้ไม่พบสิ่งที่ต้องการ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับ UX/UI ที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะออกจากเว็บไซต์ UX/UI ที่ดีสามารถช่วยลด Bounce Rate ได้โดย ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และนำเสนอเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ เราจะสำรวจ แนวทางการปรับปรุง UX/UI เพื่อลด Bounce Rate พร้อมกรณีศึกษาของเว็บไซต์ข่าวที่สามารถเพิ่มอัตราการอ่านบทความจนจบขึ้น 50%
Bounce Rate สูงเกิดจากอะไร?
ก่อนที่เราจะไปดูวิธีแก้ไข มาดูปัจจัยหลักที่ทำให้ Bounce Rate สูงกันก่อน
-
เว็บไซต์โหลดช้า – ผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์หากต้องรอนานเกิน 3 วินาที
-
เนื้อหาอ่านยาก – ฟอนต์ที่เล็กเกินไป สีที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวก
-
โครงสร้างเว็บไซต์ซับซ้อน – หากผู้ใช้ไม่สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย พวกเขาจะเลือกออกจากเว็บ
-
ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็น – ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม
-
Pop-up และโฆษณาที่กวนใจ – การมี Pop-up มากเกินไปทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและออกจากเว็บทันที
UX/UI ที่ดีช่วยลด Bounce Rate ได้อย่างไร?
1. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed Optimization)
ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการรอ หากเว็บไซต์โหลดช้าเกิน 3 วินาที 53% ของผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์ทันที
วิธีแก้ไข:
-
ใช้ รูปภาพที่บีบอัดแล้ว และหลีกเลี่ยงการใช้ไฟล์ขนาดใหญ่
-
ใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นจากทุกพื้นที่
-
ลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น
2. ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย และออกแบบเลย์เอาต์ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้
หากผู้ใช้ต้องเพ่งสายตาหรือรู้สึกว่าเนื้อหาอ่านยาก พวกเขาจะออกจากเว็บไซต์
แนวทางแก้ไข:
-
ใช้ ฟอนต์ Sans-serif ที่อ่านง่าย และขนาดไม่เล็กเกินไป (เช่น 16px ขึ้นไป)
-
ใช้ สีตัวอักษรที่มีคอนทราสต์สูง เช่น ขาว-ดำ หรือเทาเข้ม-ขาว
-
ใช้ โครงสร้างที่จัดวางอย่างชัดเจน เช่น การแบ่งย่อหน้า การใช้หัวข้อ (H1, H2, H3)
3. แสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
หากเว็บไซต์ไม่มีลิงก์ไปยังบทความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้จะไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ
วิธีแก้ไข:
-
ใช้ Related Articles หรือ Suggested Content ใต้บทความ
-
ใช้ Infinite Scroll หรือ Load More เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ง่าย
-
ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกไปยังหน้าอื่น
4. ลด Pop-up และโฆษณาที่รบกวนการอ่าน
82% ของผู้ใช้บอกว่า Pop-up เป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในเว็บไซต์
แนวทางปรับปรุง UX/UI:
-
ลดการใช้ Pop-up ที่ขัดจังหวะการอ่าน ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น สมัครรับข่าวสาร
-
ไม่ควรมีโฆษณาที่ครอบคลุมทั้งหน้าจอหรือบังคับให้กดปิด
5. รองรับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization & Responsive Design)
เกือบ 70% ของผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านมือถือ หากเว็บไซต์ไม่รองรับการใช้งานบนมือถือ Bounce Rate จะสูงขึ้น
แนวทางปรับปรุง UX/UI สำหรับมือถือ:
-
ใช้ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์ปรับขนาดอัตโนมัติตามหน้าจอ
-
ทำให้ปุ่มและลิงก์ ใหญ่พอที่จะกดได้ง่าย บนหน้าจอมือถือ
-
ปรับแต่ง เลย์เอาต์ให้เหมาะสม ไม่ให้เนื้อหาดูแออัดจนเกินไป
กรณีศึกษา: เว็บไซต์ข่าวที่ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บ
ปัญหาที่พบก่อนการปรับปรุง UX/UI
เว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งพบว่า ผู้ใช้ใช้เวลาเฉลี่ยบนหน้าเว็บเพียง 30 วินาที และ Bounce Rate สูงถึง 75% ซึ่งเกิดจากปัญหาดังนี้:
-
โหลดหน้าเว็บช้า ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องการรอ
-
ฟอนต์เล็กและอ่านยาก โดยเฉพาะบนมือถือ
-
ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็น ทำให้ผู้ใช้ไม่มีแรงจูงใจให้อ่านบทความอื่น
-
มี Pop-up โฆษณาที่กวนใจ จนผู้ใช้เลือกที่จะออกจากเว็บไซต์
การแก้ไข UX/UI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
ทีม UX/UI ได้ดำเนินการปรับปรุงเว็บไซต์โดย:
-
ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์
-
ลดขนาดไฟล์ภาพและใช้ Lazy Loading
-
ปรับปรุงโครงสร้างโค้ดให้โหลดเร็วขึ้น
-
ออกแบบให้ฟอนต์อ่านง่ายขึ้น
-
เปลี่ยนฟอนต์เป็น Sans-serif ที่ชัดเจนขึ้น
-
ปรับขนาดฟอนต์เป็น 16px-18px และเพิ่มระยะห่างระหว่างบรรทัด
-
เพิ่มบทความที่เกี่ยวข้องในแต่ละหน้า
-
ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการอ่านของผู้ใช้ และแนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง
-
เพิ่มปุ่ม "อ่านต่อ" ใต้แต่ละบทความ
-
ลด Pop-up ที่ไม่จำเป็น
-
ลบโฆษณาที่รบกวนการอ่าน และใช้แบนเนอร์เล็กๆ แทน
-
ปรับปรุงการใช้งานบนมือถือ
-
ใช้ Responsive Design เพื่อให้หน้าเว็บแสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
-
ขยายขนาดปุ่มและลิงก์ให้กดง่ายขึ้น
ผลลัพธ์หลังการปรับปรุง UX/UI
หลังจากดำเนินการปรับปรุง UX/UI พบว่า:
-
Bounce Rate ลดลงจาก 75% เหลือ 45%
-
อัตราการอ่านบทความจนจบเพิ่มขึ้น 50%
-
เวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้บนหน้าเว็บเพิ่มขึ้น 2 เท่า
-
อัตราการคลิกบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 35%
สรุป:
UX/UI มีบทบาทสำคัญในการช่วยลด Bounce Rate และเพิ่ม Engagement ของผู้ใช้ การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีต้องคำนึงถึง ความเร็วในการโหลด, ความอ่านง่ายของเนื้อหา, การแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และการลดสิ่งที่รบกวนผู้ใช้
กรณีศึกษาของเว็บไซต์ข่าวแสดงให้เห็นว่า การปรับปรุง UX/UI สามารถเพิ่มเวลาใช้งานเว็บไซต์และลดอัตราการออกจากหน้าเว็บได้อย่างมีนัยสำคัญ หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณดึงดูดผู้ใช้และสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนาน UX/UI เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง


Subscribe to follow product news, latest in technology, solutions, and updates
Other articles for you



Let’s build digital products that are simply awesome !
We will get back to you within 24 hours!Go to contact us








